ฟุตโน้ตประวัติศาสตร์ เรื่องแปลกๆ “พิธีสาบานตน” ปธน.สหรัฐฯ

โดย วีรกร ตรีเศศ

 

สารพัดเรื่องของประธานาธิบดีโอบามาเป็นที่ทราบกันกว้างขวางอยู่แล้ว แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ดูเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกัน นั่นก็คือ “โอบามาสาบานตนถึงสองครั้ง” เพราะความผิดของ Chief Justice หรือ “ประธานศาลฎีกา” ผู้กล่าวนำคำสาบาน

ใครที่ดูพิธีการสาบานตนของประธานาธิบดีโอบามาทางโทรทัศน์ในวันที่ 20 มกราคม 2009 คงเห็นว่าพิธีนี้กระทำกันอย่างเอิกเกริก มีคอนเสริ์ตและงานบอลล์ต่างๆ ที่เป็นทางการถึง 10 แห่ง ที่ประธานาธิบดีและภรรยาต้องไปร่วมตามประเพณีที่มีอย่างยาวนาน

พิธีการสาบานตนนี้มีผลทางกฎหมาย เพราะทันทีที่สาบานตนเมื่อเวลาเที่ยงวันของวันที่ 20 มกราคม ก็เป็นประธานาธิบดีตามกฎหมายทันที่

ทุกครั้งนับตั้งแต่ ค.ศ.1789 เมื่อประธานาธิบดียอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาสาบานตนก็ไม่มีปัญหา แต่พิธีกรรมครั้งนี้ของโอบามาเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาในระหว่างการกล่าวคำสาบาน

ใครที่ดูอยู่ใกล้ชิดคงจะพอสังเกตเห็นว่ามันไม่เป็นไปอย่างราบรื่นเพราะประธานศาลฎีกาสหรัฐ John Roberts ผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้จะเป็นคำสาบานเพียง 35 คำเท่านั้นแต่ผู้ทำงานใหญ่ท่านนี้ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการกล่าวผิด

AFP PHOTO / PAUL J. RICHARDS

พิธีการก็คือประธานาธิบดีผู้สาบานตนต้องยกมือขวาขึ้นเหนือบ่าเล็กน้อย (ถึงแม้โอบามาจะถนัดซ้ายก็ตาม) เช่นเดียวกันกับประธานศาลฎีกาผู้กล่าวคำพูดนำดังที่บัญญัติไว้ใน Section 1 ของ Second Artice ของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ดังนี้

“I do solemnly swear that I will faithfully execute the office of President of the United States, and will to the best of my ability, preserve, protect and defend the Constitution of the United States”

ขอแปลเป็นไทยว่า

“ข้าฯ ขอสาบานอย่างมั่นคงในคำกล่าวว่าจะปฏิบัติงานในความรับผิดชอบของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างซื่อสัตย์ และจะใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดรักษา เชิดชู คุ้มครอง และปกป้องรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา”

นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันว่าประธานาธิบดียอร์ช วอชิงตัน แถมตอนท้ายด้วยคำพูดว่า So help me God (ขอพระเจ้าจงได้โปรดช่วยด้วย) หรือไม่

ในการสาบานตนครั้งแรกใน ค.ศ.1789 ประธานาธิบดียอร์ช วอชิงตัน กระทำบนระเบียงของ Federal Hall ใน New York City

ใน ค.ศ.1801 ประธานาธิบดีโทมัส เจ็ฟเฟอร์สัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มีการเฉลิมฉลองเป็นประธานาธิบดีกัน ณ เมืองหลวงแห่งใหม่คือกรุงวงชิงตัน ดี.ซี

การสาบานตนที่แปลกที่สุดครั้งหนึ่งกระทำกันอย่างฉุกละหุกบนเครื่องบินหลังจากที่ประธานาธิบดีเคเนดี้ถูกสังหารเสียชีวิตใน ค.ศ.1963 ผู้พิพากษาผู้กระทำพิธีเป็นหญิง (ครั้งแรกด้วยที่เป็นหญิง) ชื่อ Sarah Hughes และผู้เข้าสาบานตนคือรองประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน

ลินดอน บี จอห์นสัน ได้กระทำพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 36 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อบ่ายวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 บนเครื่องบินที่นำศพของประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่เสียชีวิตเนื่องจากถูกลอบสังหาร ในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส และตุลาการที่ทำพิธีให้เขาเป็นสตรีวัย 67 ปี คือ ตุลาการ ซารา ที.ฮิวจ์ / AFP PHOTO / JFK Presidential Library / CECIL STOUGHTON-WH PHOTOGRAPHS

ในการสาบานตนของโอบามาเขาขอใช้ไบเบิลเล่มเดียวกับที่ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาคือ อับราฮิม ลินคอล์น ใช้ตอนสาบานตนเมื่อ 148 ปีก่อน ไบเบิลเล่มนี้ปกหุ้มด้วยหนังอย่างดี ขอบขลิบด้วยโลหะสีทอง

Lincoln Bible

ประธานาธิบดีหลายคนก่อนหน้า (รวมทั้ง Bush ผู้ลูก) นิยมใช้ไบเบิลเล่มที่ประธานาธิบดียอร์ช วอชิงตัน ใช้สาบานตน (ดังที่เรียกกันว่า Washington Bible) เพื่อความขลังทางประวัติศาสตร์และเป็นวาทกรรมทางการเมืองอย่างหนึ่ง แต่สำหรับโอบามาเขาขอใช้ Lincoln Bible เล่มที่ประธานาธิบดีผู้ปลดปล่อยทาสผิวดำเคยใช้ และเป็นนักการเมืองผู้มาจากรัฐเดียวกับเขาคือรัฐอิลลินอยส์อีกด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้นในการสาบานตนครั้งนี้ก็คือประธานศาลฎีกา John Roberts ได้กล่าวนำอย่างถูกต้องมาจนถึงตอนคำว่า faithfully ก็ตกคำนี้ไป โอบามารู้ว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น (ไม่รู้ว่าผู้กำลังจะเป็นประธานาธิบดีคิดว่าตนเองถูกลองของหรือเปล่า) จึงเงียบไม่กล่าวตาม จน John Roberts รู้ตัวจึงกล่าวย้อนไปเล็กน้อยและมีคำว่า faithfully ด้วยและดำเนินต่อไปจนจบ

PHOTO / ROBYN BECK

ใครๆ ก็คิดว่าเรื่องคงจบไปแล้ว ถือว่าเป็นเกล็ดประวัติศาสตร์สนุกๆ แต่ นักกฎหมายของประธานาธิบดีเกรงว่าอาจเป็นปัญหาต่อไปได้ หากมีผู้ใส่เสื้อแดง…เอ๊ย ผู้สันทัดกรณีอ้างว่าคำสาบานไม่ได้เป็นไปอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เรื่องทั้งหมดที่กระทำไปในฐานะประธานาธิบดีก็จะเป็นโมฆะไปทั้งหมด และจะปวดหัวเป็นที่สุดในเชิงกฎหมาย จึงขอให้มีการสาบานตนอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

โอบามาในฐานะนักกฎหมายเกียรตินิยมดีเด่นจากฮาวาร์ดและอดีตอาจารย์สอนกฎหมายของมหาวิทยาลัยชิคาโกก็โอเคด้วย เพราะพอมองเห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ กุนซือ กฎหมายของโอบามาบอกว่าการสาบานตนครั้งแรกก็ใช้ได้แล้ว แต่เพื่อกันเหนียวเนื่องจากมี คำหนึ่งที่หลุดออกไปจากการพูดนำของประธานศาลฎีกาครั้งแรกจนพิธีสาบานตนไม่เป็นปกติและคำสาบานนี้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาด้วย

จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปีค.ศ.2005 AFP PHOTO /TIMOTHY A.CLARY

ที่เราสงสัยก็คือเมื่อยืนยันว่าการสาบานตนครั้งแรกใช้ได้แล้ว เหตุใดจึงกระทำพิธีสาบานตนอีกครั้ง เพื่อกันเหนียวจริง? หรือเพื่อสร้างฟุตโน้ตประวัติศาสตร์?

ข้อมูลประกอบที่น่าสังเกตก็คือในตอนเช้าประธานาธิบดีได้ลงนามใน Executive Order ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยผู้บริหาร (คล้ายพระราชกำหนดของบ้านเรา) สั่งปิดค่ายกักกันผู้สงสัยก่อการร้ายที่Guantanamo Bay ในคิวบาภายในหนึ่งปี และเริ่มสั่งถอนทหารออกจากอิรัก ส่วนพิธีสาบานตนได้กระทำหลังจากการลงนามนั้นแล้วเล็กน้อย

ในโลกตะวันตกการนำไบเบิลมาใช้ประกอบพิธีสาบานตนมีมานานแล้ว ตั้งแต่พระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์อังกฤษในศตวรรษที่ 11 และการสาบานตนกับหนังสือศักดิ์สิทธิ์มีมาตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาล พิธีสาบานตนโดยใช้ไบเบิลประกอบในการเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงไม่ไช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น

Chief Justice John Robert คงนอนไม่หลับไปหลายคืน รายการทีวีทั้งหลายคงเอาไปล้อเลียนกันสนุกสนานเพราะคำพูดเพียง 35 คำก็ยังกล่าวผิด แต่ถ้าเอาใจเขาไปใส่ใจเรา ก็คงตื่นเต้นไม่น้อย เพราะตนเองเป็นบุคคลสำคัญของภาพที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกนับร้อยๆ ปี และขณะกล่าวนำมีคนดูอยู่นับร้อยๆ ล้านคนในโลก

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 ก.พ. 2552

อับราฮัม ลินคอล์น เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปีค.ศ. 1861 / AFP PHOTO / LIBRARY OF CONGRESS / HO
WASHINGTON – JANUARY 20: Crowds fill the National Mall during the inauguration of Barack Obama as the 44th President of the United States of America January 20, 2009 in Washington, DC. Obama becomes the first African-American to be elected to the office of President in the history of the United States. Alex Wong/Getty Images/AFP / AFP PHOTO / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / ALEX WONG