ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ [email protected] |
เผยแพร่ |
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
เป็นที่ทราบกันดี ทางสื่อไทยและเทศว่า 14 เมษายน 2561 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา มีคำสั่งให้กองทัพสหรัฐอเมริกา ร่วมกับกองทัพพันธมิตรฝรั่งเศส และอังกฤษ เปิดปฏิบัติการทางทหารถล่มเป้าหมายรัฐบาลซีเรีย โดยยิงขีปนาวุธกว่า 50 ลูกจากเรือพิฆาตเข้าใส่ฐานทัพซีเรีย ที่สงสัยว่าเป็นสถานที่ปล่อยอาวุธเคมีเข้าใส่พลเรือน
การโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาตอบโต้ปฏิบัติการของกองทัพซีเรียที่โจมตีพลเรือนตนเองด้วยอาวุธเคมีประเภทสารทำลายระบบประสาท จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561
เป็นที่ทราบกันดีว่าเช่นกันว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ของซีเรียมีรัสเซียสนับสนุนทางทหารและบัลลังก์ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีอันเป็นผลให้ทั่วโลกกลัวจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
เพราะรัฐบาลรัสเซียออกมาประณามและขู่คำรามการโจมตีดังกล่าวของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงตอบโต้ทันควันว่า “เป็นพฤติกรรมก้าวร้าวต่ออธิปไตยของประเทศ”
รวมทั้งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซียเลวร้ายลง
สงครามแปลกประหลาดที่ตะลุมบอนหลายฝ่าย
ความเป็นจริงสงครามทั่วไปจะมีสองฝ่าย แต่สมรภูมิซีเรียนี้แปลก มีตัวละครสำคัญหลายฝ่ายมาก และอ้างความมั่นคงและช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งการโจมตีครั้งล่าสุดของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้
ศ.ดร.จรัญ มะลูลีม ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางศึกษาและโลกมุสลิม อธิบายว่า “สงครามและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในซีเรีย เป็นผลพวงที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ “อาหรับสปริง” เมื่อปี 2554 นับเป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนลุกฮือขึ้นปฏิวัติและโค่นล้มระบบเผด็จการครั้งใหญ่ที่สุดในโลกอาหรับ
เริ่มต้นจากตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย เยเมน ก่อนที่ไฟแห่งการปฏิวัติและกระแสต่อต้านรัฐบาลเผด็จการจะแพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วทั้งภูมิภาค…
ซีเรียในขณะนั้นถูกปกครองด้วยรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด (Bashar al-Assad) ที่รับช่วงต่อการบริหารประเทศจากพ่อของเขาที่ปกครองซีเรียมายาวนานเกือบ 30 ปี เกิดกระแสประท้วงขับไล่รัฐบาลซีเรียอย่างหนัก จนนำไปสู่การใช้กำลังทางทหารเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลซีเรียได้
ความล้มเหลวดังกล่าวนำไปสู่การจัดตั้งกองกำลังปลดปล่อยซีเรีย (Free Syrian Army) ของฝ่ายกบฏ เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลซีเรีย
ความขัดแย้งบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมือง (Civil War) ภายในประเทศ
ก่อนที่จะถูกซ้อนทับด้วยปัญหาการต่อสู้ด้วยอาวุธอันนำสู่คำว่าการก่อการร้าย
ปัญหาชาวเคิร์ดที่ต้องการจะแยกตัวออกจากซีเรียและปกครองตนเอง
ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและกลุ่มรัฐอ่าวอาหรับที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย
รวมถึงผลประโยชน์ของมหาอำนาจอื่นๆ ในตะวันออกกลางโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย
จนกลายเป็นสงครามตัวแทน (Proxy War) ในที่สุด
เกิดการปะทะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลซีเรียกับฝ่ายต่อต้าน รวมถึงกลุ่มไอเอสเรื่อยมา
ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากเหตุความรุนแรงในซีเรียมากกว่า 450,000 คน
และจากรายงานของสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า ปี 2559 ที่ผ่านมา มีชาวซีเรียมากกว่า 12 ล้านคน (จากประชากรทั้งหมดราว 18.43 ล้านคน) ต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่น”
กล่าวโดยสรุป มีตัวละครสำคัญกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
– รัฐบาลซีเรีย (ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย จีน และพันธมิตรชาติอื่นๆ) VS กลุ่มกบฏ กลุ่มไอเอส ชาวเคิร์ด
– กลุ่มกบฏ ที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย (สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย และพันธมิตรชาติอื่นๆ) VS รัฐบาลซีเรีย กลุ่มไอเอส
– กลุ่มไอเอส ที่ต้องการสถาปนารัฐอิสลามขึ้นในพื้นที่ของอิรักและซีเรีย แยกตัวออกมาจากกลุ่มอัลกออิดะห์ VS รัฐบาลซีเรีย กลุ่มกบฏ ชาวเคิร์ด
– ชาวเคิร์ด ชนกลุ่มน้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ต้องการแยกตัวออกจากซีเรียและตุรกี พร้อมปกครองตนเอง (สนับสนุนโดยสหรัฐ) VS รัฐบาลซีเรีย กลุ่มไอเอส และตุรกี
– สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจที่เข้ามาพัวพันกับสงครามซีเรีย โดยเริ่มจากการสนับสนุนรัฐบาล ก่อนที่จะหันมาสนับสนุนกลุ่มกบฏ หลังเชื่อว่ารัฐบาลซีเรียอยู่เบื้องหลังการโจมตีประชาชนด้วยก๊าซพิษ
– รัสเซีย ที่เข้ามาในสมรภูมิซีเรียจากความพยายามปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายและให้การสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย
ทางออกสงครามสมรภูมิซีเรีย
จากตัวละครมากมายที่ตะลุมบอนครั้งนี้น่าจะยาก(ส์)ในการแก้ปัญหา
แต่ผู้เขียนมองว่าทุกปัญหามีทางออกและทางแก้ไขได้
การเจรจาเพื่อหาทางยุติความขัดแย้ง จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน ไม่ใช่คิดจะเปิดฉาก “สงคราม” ที่มีแต่ความสูญเสียต่อทุกฝ่าย
ซึ่งในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทั่วโลกก็จบโดยการเจรจาและพูดคุย (ลองดูตัวอย่างของเกาหลีใต้กับเหนือซึ่งหวังว่าจะคืนดีด้วยการใช้กระบวนการเจรจาและสันติวิธีโดยไม่พูดเรื่องแนวคิดทางการเมือง)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกฝ่ายจะต้องถอยมิติศาสนารวมทั้งนิกาย (ซุนนี ชีอะห์) ชาติพันธุ์ แนวคิดทางการเมืองไม่ว่าค่ายเผด็จการ ประชาธิปไตย อิสลามนิยม
เลิกวาทกรรมรุนแรง ยั่วยุอันเป็นใบอนุญาตการฆ่าของคนเห็นต่างโดยคำนึงมนุษยธรรม มนุษยชาติความเป็นมนุษย์มาก่อน คิดถึงประชาชน ผู้บริสุทธิ์ เด็กสตรี และผู้สูงอายุที่ต้องพลัดพราก หนีภัยสงครามที่กระทบหลายประเทศรวมทั้งไทย และอารยธรรมในอดีตของซีเรียในหลายๆ เมืองที่เป็นมรดกโลก
ที่สำคัญผู้หนุนเสริมแต่ละกลุ่มแต่ละประเทศหยุดสนับสนุนอาวุธและการเงินในปฏิบัติการทหาร แต่หนุนเสริมกระบวนพูดคุยเจรจา ปล่อยให้คนซีเรียทุกภาคส่วนทั้งถืออาวุธและไม่ถืออาวุธนั่งพูดคุยกำหนดอนาคตเขาเองถึงแม้จะต้องใช้เวลา
องค์กรพัฒนาเอกชนทั่วโลก และอาหรับ ต้องกดดันให้มหาอำนาจ รวมทั้งทุกฝ่าย (กองเชียร์ด้วย) ของคู่ขัดแย้งนั่งโต๊ะเจรจา เพราะกระบวนการสันติวิธีเท่านั้นจะแก้ปัญหาความรุนแรงและความหายนะของมนุษยชาติได้ การใช้อาวุธและความรุนแรงไม่ได้แก้ไขปัญหาแต่กลับทำลายมนุษยชาติเสียเอง
ถ้าทุกฝ่ายไม่ถอย…สงครามที่ซีเรียก็จะไม่เพื่อประชาชน แต่เป็นผลประโยชน์แต่ละกลุ่มตามที่เราประจักษ์อยู่ทุกวี่วันซึ่งอ้างประชาชนในการทำสงคราม