เผยแพร่ |
---|
ประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีแบบไม่ถ้อยทีถ้อยอาศัยในสายตาสหรัฐฯ
ประเทศคู่ค้า |
จำนวนรายการสินค้าที่คู่ค้าเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าสหรัฐ ฯ |
จำนวนรายการสินค้าที่คู่ค้าเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าสหรัฐ ฯ |
จำนวนรายการสินค้าที่คู่ค้าเก็บภาษีในอัตราเท่ากับสหรัฐ ฯ |
อินเดีย |
4,845 |
360 |
183 |
จีน |
4,592 |
455 |
341 |
เวียดนาม |
2,985 |
1,237 |
983 |
สหภาพยุโรป |
2,907 |
1,271 |
1,210 |
ไทย |
2,881 |
1,407 |
917 |
ไต้หวัน |
2,713 |
1,381 |
1,294 |
รวม |
20,923 |
6,111 |
4,928 |
ที่มา : White House Office of Trade and Manufacturing Policy
เปิดเอกสารทำเนียบขาว ล็อกเป้า”ส่งออกไทย”
2 เมษายน ณ สวนกุหลาบทำเนียบขาว (White House Rose Garden) คือ กำหนดการ และสถานที่ๆประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศเปิดฉากสงครามการค้าเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรการ ภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff ) เล่นงานประเทศคู่ค้าที่ สหรัฐฯ เห็นว่า ปฎิบัติต่อสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม
คู่มือใน “ชี้เป้า” คือเอกสารของทำเนียบขาวที่มีชื่อว่ากฎหมายภาษีต่างตอบแทนแห่งสหรัฐ :การประมาณการผลกระทบต่อการจ้างงานและการขาดดุลการค้า (The United States Reciprocal Trade Act : Estimated Job & Trade Deficit Effects)ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานนโยบายการค้าและอุตสาหกรรมแห่งทำเนียบขาว(White House Office of Trade and Manufacturing Policy) ตั้งแต่ปี 2019 อันเป็นปีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
เอกสารชุดนี้ ถูกกล่าวถึง โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ “NEXT MOVE Thailand” ในงานสัมมนา “Prachachat Forum : NEXT MOVE Thailand 2025” จัดโดยประชาชาติธุรกิจ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า มีชื่อประเทศไทยอยู่ในเอกสารชิ้นนี้ในหลาย ๆ รูปแบบ สาระสำคัญคือสหรัฐฯ ได้มีการคำนวณการตอบโต้โดยใช้ข้อมูลและแบบจำลองไว้ก่อนแล้วว่า จะดำเนินการอย่างไรกับประเทศไทย ได้บ้าง
ปกเอกสาร กฎหมายภาษีต่างตอบแทนแห่งสหรัฐฯ :การประมาณการผลกระทบต่อการจ้างงานและการขาดดุลการค้า จัดทำโดย สำนักงานนโยบายการค้าและอุตสาหกรรมแห่งทำเนียบขาว
ข้อมูลในเอกสารจัดให้ประเทศไทย อยู่ในกลุ่ม “ผู้นำประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีแบบไม่ถ้อยทีถ้อยอาศัย” คำนี้ใช้เรียกประเทศที่เรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงกว่าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของประเทศนั้นๆ โดยไม่มีความเท่าเทียมหรือการตอบแทนกันทางการค้า จากข้อมูลตามตาราง ประเทศไทยเก็บภาษีศุลกากรสูงกว่าสหรัฐฯ ใน 2,881 รายการสินค้า คิดเป็น 55% ของรายการสินค้าทั้งหมดที่มีการเปรียบเทียบ ส่วนสหรัฐฯ เก็บภาษีสูงกว่าไทย 1,407 รายการสินค้า คิดเป็น 27% และมี 917 รายการสินค้า (18%) ที่ทั้งสองประเทศเก็บภาษีในอัตราเท่ากัน
ตารางแสดง “ผู้นำประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีแบบไม่ถ้อยทีถ้อยอาศัย”
พร้อมทั้งแสดงแผนภาพขนาดของการขาดดุลการค้าทวิภาคีของสหรัฐฯ เทียบกับความแตกต่างในอัตราภาษีเฉลี่ยที่ใช้สำหรับเจ็ดประเทศชั้นนำในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม บวกกับ 28 ประเทศของสหภาพยุโรป คิดเป็น 47.6% ของการค้ารวมของสหรัฐฯ และ 88.6% ของการขาดดุลการค้าสินค้าของสหรัฐฯ แกนตั้งวัดความแตกต่างในอัตราภาษีเฉลี่ยที่ใช้ระหว่างคู่ค้าแต่ละรายที่ระบุกับสหรัฐฯ ในขณะที่แกนนอนวัดขนาดของการขาดดุลการค้า
เห็นได้ว่าในโซนสีแดงของภาพ จีนมีการขาดดุลการค้าทวิภาคีที่ใหญ่ที่สุดโดยมีส่วนต่างมาก ในขณะที่อินเดียมีความแตกต่างของอัตราภาษีที่ใหญ่ที่สุด ในโซนสีเหลือง สหภาพยุโรปมีการขาดดุลการค้าทวิภาคีใหญ่เป็นอันดับสอง ในขณะที่ไทย ไต้หวัน และเวียดนามมีความแตกต่างของอัตราภาษีที่สูงเป็นพิเศษถูกจัดอยู่ในโซนเหลือง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างแบบจำลองฉากทัศน์สำหรับคู่ค้า แต่ละรายในโซนสีแดงและสีเหลือง โดยกรณีประเทศไทย ถูกกำหนดเป้าหมายการจัดการ 2 ฉากทัศน์
ฉากทัศน์ที่ 1 (Scenario One): หากประเทศไทยลดภาษีนำเข้าลงมาเท่ากับระดับของสหรัฐฯ ในกรณีนี้ การขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทยจะลดลง 3.2 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 17% ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดในปี 2018
ฉากทัศน์ที่ 2 (Scenario Two): หากประเทศไทยไม่ยอมลดภาษี และสหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้นภาษีให้เท่ากับระดับของไทยในกรณีนี้ การขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทยจะลดลงมากกว่า คือ 6.4 พันล้านดอลลาร์คิดเป็น 34% ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดในปี 2018
ฉากทัศน์ในการจัดการกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ
ในทัศนะของ ดร.ศุภวุฒิ เห็นว่าแนวโน้มน่าจะเป็น ฉากทัศน์ที่2 เนื่องจากแนวทางนี้จะสร้างรายได้ให้สหรัฐฯ มากกว่า ทำให้สามารถนำรายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้นมาช่วยลดการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ”
การตัดสินใจขั้นสุดท้ายคงอยู่ที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่จะแถลงมาตรการประวัติศาสตร์นี้ ในวันที่ 2 เมษายน ที่สวนกุหลาบทำเนียบขาว (White House Rose Garden) ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีการสำคัญของทำเนียบขาว เช่น การแถลงข่าว การต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง รวมถึงประธานาธิบดี ใช้พื้นที่นี้ในการลงนามกฎหมายสำคัญและจัดงานรัฐพิธีต่างๆ ซึ่งทรัมป์ขนานนามอีเวนต์นี้ว่า “วันปลดแอก” (Liberation Day) ในขณะที่ ผู้นำในประเทศอื่นๆ นักธุรกิจ และนักวิเคราะห์มองว่าน่าจะเป็น “วันสิ้นโลก”(Judgement Day)