“บิ๊กเจี๊ยบ” ข้ามาคนเดียว กลางดงบูรพาพยัคฆ์ มองข้ามช็อต ถอดรหัส ไย “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ใจถึง

ที่สุด พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท Le Petit “หมวกแดง” หรือหมวกแดงน้อย ที่พ้องกับคำไทย “เจี๊ยบ หมวกแดง” กลายเป็น บิ๊กเจี๊ยบ ที่ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 40 แห่งกองทัพบกไทย เรียบร้อย

หลังจากที่มี ผบ.ทบ. จากบูรพาพยัคฆ์ ที่โตมาจาก พล.ร.2 รอ. ต่อเนื่องกันถึง 4 คนใน 10 ปี จาก บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา 2 ปี บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีก 4 ปี ต่อด้วย บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร 1 ปี และ บิ๊กหมู พล.อ.ธีรชัย นาควานิช อีก 1 ปี

ถึงคราของทหารรบพิเศษ หมวกเบเร่ต์แดง จากป่าหวาย ลพบุรี เข้ากรุง มายึดครองเก้าอี้ ผบ.ทบ. ณ ราชดำเนิน เป็นคนที่ 4 หลังจากที่ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เคยเป็น ผบ.ทบ. จากรบพิเศษ มาก่อนแล้ว

ท่ามกลางความฮือฮา ที่ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี “ใจถึง” กล้าที่จะเลือกนายทหารนอกขั้วอำนาจบูรพาพยัคฆ์ มาเป็น ผบ.ทบ.

แต่ก็คุ้มค่ากับภาพพจน์ของกองทัพ ที่ไม่ได้เอาแต่พรรคพวก น้องรักบูรพาพยัคฆ์ ประมาณว่า มีคุณธรรม ความชอบธรรม

รวมทั้งเป็น “สัญญาณไมตรี” ที่ส่งไปถึงขั้วบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งเป็นแบ๊กอัพสำคัญของ พล.อ.เฉลิมชัย

(ซ้าย) พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ขวา)พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท
(ซ้าย) พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ขวา)พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท

ด้วยเพราะรู้กันดีว่า พล.อ.เฉลิมชัย นั้น แม้จะไม่ได้รบพิเศษลูกป๋าสายตรง แต่ก็เป็นน้องรักของ พล.อ.สุรยุทธ์ องคมนตรีลูกป๋า ที่ได้ชื่อว่าเป็น “พี่ใหญ่แห่งรบพิเศษ”

จนทำให้วันนี้ พล.อ.เฉลิมชัย กลายเป็น “เจี๊ยบบบบบ” ของ “ป๋าเปรม” ที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รู้จักมักคุ้น และใกล้ชิดกันในที่สุด จึงกลายเป็น “รบพิเศษลูกป๋า” ไปอีกคน

พล.อ.สุรยุทธ์ และ พล.อ.เฉลิมชัย นั้น มีความผูกพันกันยาวนาน ตามประสาพี่น้องหมวกแดง ที่เติบโตไล่ตามกันมา

โดยเฉพาะการไปปฏิบัติราชการลับที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงการสู้รบของเขมรแดง และเขมรสามฝ่าย

ในเวลานั้น ว่าที่ ผบ.ทบ.รบพิเศษในอนาคต อย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ พล.อ.สนธิ และ พล.อ.เฉลิมชัย ต้องเสียสละ ลาออกจากราชการทหาร เพื่อไปทำงานด้านการข่าวลับที่ชายแดน

โดยใช้ชื่อจัดตั้ง ที่รู้จักกันดีในนาม “หัวหน้าวิชชุ” และ “หัวหน้านาวิก” ในหน่วยปฏิบัติการหมายเลข 838 ที่เป็นหน่วยลูกของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก หมายเลข 315 ที่จัดตั้งโดย “หัวหน้าไชโย” หรือ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั่นเอง

ส่วน พล.อ.เฉลิมชัย ที่ในเวลานั้น รู้จักกันในนาม “หัวหน้าชัยสิทธิ์ อิสสละ” ก็เป็นทีมงานลับ ในหน่วย 838 นี้ด้วย

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ สายใยพี่น้องรบพิเศษ เรื่อยมา จนกลับเข้ารับราชการทหารใน ทบ. อีกครั้ง และก็เติบโตด้วยกันมา โดยเฉพาะในกองพลรบพิเศษที่ 1 โดยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เกื้อหนุน พล.อ.เฉลิมชัย มาตลอด เพราะเห็นว่าเป็น “คนดี” และเป็นนายทหารที่ทุ่มเททำงาน และไม่ค่อยพูด

แม้จะไม่ใช่ทหารบูรพาพยัคฆ์ หรือวงศ์เทวัญ พล.อ.เฉลิมชัย ก็เดินมาในเส้นทางเหล็กของทหารรบพิเศษ หมวกแดง แบบที่เรียกว่า สายคอมแมนด์ ตั้งแต่เป็น ผู้บังคับกองพัน รพศ.พัน 1 และเป็นผู้บังคับการกรม ของกรมรบพิเศษที่ 1 ก่อนมาเป็น ผบ.กองพลรบพิเศษที่ 1 และในที่สุดเป็น ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) ก่อนขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. และ ผบ.ทบ. ในที่สุด 1 ตุลาคม 2559

ท่ามกลางความฮือฮาตรงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จับมือ พล.อ.ธีรชัย ผบ.ทบ. ในการให้เสนอชื่อ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. เพื่อสร้างความชอบธรรม จากนั้นเป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร เอง

ด้วยเหตุผลของความเหมาะสมต่อสถานการณ์ ด้วยบุคลิกที่เป็นคนทำงาน เงียบๆ ไม่ค่อยพูด ไม่มีปัญหาทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน แถมลูกสาวและลูกชาย “น้องฝัน-น้องป้อง” ก็เป็นเด็กดี เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ที่อังกฤษ

แถมเป็นทหารรบพิเศษ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชื่นชม และอีกหลายเหตุผล จึงทำให้ พล.อ.ประวิตร ต้องยอม

โดยที่ บิ๊กแกละ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ ของบิ๊กป้อม ได้เป็นแค่ รอง ผบ.ทบ. ครองอัตราจอมพล ก่อนเกษียณกันยายน 2560

แม้จะรู้กันดีว่า ระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร จะเคยมีรอยร้าวในใจกันมา ตั้งแต่บิ๊กแอ้ด เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. โยกย้ายบิ๊กป้อมเข้ากรุ ทบ. ก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เชื่อว่ารอยร้าวนี้เจือจางบางลง และไม่เซาะลึกร้าวมาถึงรุ่นน้อง น้องรักของบิ๊กแอ้ด อย่างบิ๊กเจี๊ยบ

ถึงแม้ว่าจะทำให้อำนาจและบารมีของบิ๊กป้อม พี่ใหญ่ ที่เคยเฟื่องฟู ลดลงไป เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจสูงสุด และยึดอำนาจการตัดสินใจนั้นไว้เสียเอง ในที่สุด

จึงไม่แปลกที่เมื่อมีโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว บรรดา ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ แม่ทัพนายกอง จะตบเท้าเข้าทำเนียบรัฐบาล ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ไปขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ตามธรรมเนียมแบบไทยๆ แทนที่จะขอบคุณแต่ พล.อ.ประวิตร คนเดียว

การเลือก พล.อ.เฉลิมชัย เป็น ผบ.ทบ. ครั้งนี้ อาจจะต้องแลกกับอนาคตของน้องรักที่สุดของ 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” อย่าง บิ๊กเข้ พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่ขึ้นมาเป็น พลเอก ผช.ผบ.ทบ. ในโผนี้

เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ วางหมากบิ๊กเจี๊ยบแบบนี้ ย่อมหมายถึงการให้ พล.อ.เฉลิมชัย นั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. 2 ปี จนเกษียณกันยายน 2561 เพื่อหวังให้กองทัพนิ่ง พร้อมรับสถานการณ์ช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ไปสู่การเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล ที่เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก

และก็ย่อมหมายถึงโอกาสที่ พล.ท.เทพพงศ์ จะได้เป็น ผบ.ทบ. ดับวูบลงไปด้วย เพราะเขาเกษียณกันยายน 2561 พร้อม พล.อ.เฉลิมชัย

จนทำให้เกิดสูตรการวางตัวขุนพลใหม่ ที่จะให้ พล.ท.เทพพงศ์ ขยับจาก ผช.ผบ.ทบ. ในโยกย้ายกันยายน 2560 ข้ามไปเป็นปลัดกลาโหม แทน

กระนั้น ก็ยังมีการจับตามองว่า เมื่อขึ้นเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.เฉลิมชัย ก็ต้องเป็น “สายตรงบิ๊กตู่” แต่อาจจะไม่แนบแน่นกับบิ๊กป้อมมากนัก เพราะเหตุที่ไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน ไม่สนิทกัน ไม่ใช่ทหารเสือราชินี และไม่ใช่บูรพาพยัคฆ์

แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องสายตรง บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ และบ้านสี่เสาฯ ด้วย นี่จึงทำให้เกิดสภาวการณ์ของการถูกจับตามอง ในช่วง 1 ปีของการเป็น ผบ.ทบ. ว่า พล.อ.เฉลิมชัย จะวางน้ำหนักไปทางไหน

ระหว่าง สายการบังคับบัญชา และ เรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัว จนเคยมีความหวาดหวั่นกันในสายบูรพาพยัคฆ์ ว่า จะมีโอกาสที่บิ๊กเจี๊ยบ แข็งข้อ หรือไม่ เช่นในกรณีหากจะถูกเด้งจาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.สส. หรือการวางกลยุทธ์แห่งอำนาจของพี่ใหญ่รบพิเศษ อย่าง บิ๊กแอ้ด ลูกป๋า

แต่อย่าลืมว่า การที่ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ก็เรียกได้ว่า “ข้ามาคนเดียว” เพราะได้เป็นแต่ ผบ.ทบ. แต่ยังไม่ได้มีอำนาจในการแต่งตั้งหรือเลือกใครมาช่วยงาน

คงมีแต่การขอให้ บิ๊กหน่อย พล.ท.ธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า เพื่อนรัก ตท.16 จาก ผบ.นสศ. ขึ้นมาเป็น พลเอก ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เพื่อมาช่วยงานเป็นทีมงานส่วนตัว จากเดิมที่เขาอยากให้ พล.ท.ธนศักดิ์ ขึ้นมาเป็น เสธ.ทบ. แต่ไม่อาจฝ่าด่าน บิ๊กต้อ พล.ท.สสิน ทองภักดี รอง เสธ.ทบ. ผู้ครบเครื่องด้านงานยุทธการ ที่ได้เป็น เสธ.ทบ.

และดัน บิ๊กเล็ก พล.ต.ศิริชัย เทศนา จาก รอง ผบ.นสศ. เพื่อน ตท.16 ที่เดินมาเส้นทางเดียวกัน ขึ้นเป็น ผบ.นสศ. มาคุมทหารรบพิเศษ ที่เทียบเท่าระดับแม่ทัพภาค ที่เรียกว่า แม่ทัพภาคที่ 5

และแม้ว่า พล.อ.เฉลิมชัย จะเป็น ผบ.ทบ. ควบเลขาธิการ คสช. โดยตำแหน่ง และนั่งเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ของ คสช. ที่คุมกำลังทหารทุกกองทัพภาคและทุกเหล่าทัพก็ตาม

แต่เมื่อหันไปมองรอบๆ ตัวบิ๊กเจี๊ยบแล้ว จะพบว่า เขาอยู่ท่ามกลาง ผบ.หน่วยคุมกำลังที่เป็นบูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือราชินี และวงศ์เทวัญ ทั้งสิ้น

โดยเฉพาะ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่คุมกำลังปฏิวัติ อย่าง บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ นายทหารวงศ์เทวัญ สายตรงนายกฯ บิ๊กตู่

เรียกได้ว่า การปฏิวัติซ้อน รัฐประหารซ้ำ ได้ถูกบิ๊กตู่ถอดสลักไว้แล้วจากการวาง พล.ท.อภิรัชต์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมขุมกำลังรบในกรุงเทพฯ และ 26 จังหวัดภาคกลาง

รวมทั้งการถูกมองว่า มีโอกาสที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคต ต่อจาก พล.อ.เฉลิมชัย อีกด้วย เพราะ พล.ท.อภิรัชต์ มีอายุราชการถึงกันยายน 2563

พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ, พล.ต.ธรรมนูญ วิถี, พล.ต.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้

โดยมี บิ๊กตู่ พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์อีกคน เพื่อน ตท.20 ของ พล.ท.อภิรัชต์ ก็ได้ขึ้น พลโท เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 ประกบอีกทาง

แถมมีน้องรักบูรพาพยัคฆ์ถึง 2 คน อย่าง บิ๊กหนุ่ย พล.ต.ธรรมนูญ วิถี ผบ.พล.ร.9 และ บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผบ.พล.ร.2 รอ. เพื่อน ตท.22 ด้วยกัน ขยับขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 โดยที่คนใดคนหนึ่งถูกวางตัวให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป รวมถึงการเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตอีกด้วย เพราะ พล.ต.ธรรมนูญ มีอายุราชการถึง 2564 ส่วน พล.ต.สันติพงศ์ เกษียณ 2565 เลยทีเดียว

ส่วนกองพลสำคัญ ยังคงมี บิ๊กบี้ พล.ต.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ นั่งเป็น ผบ.พล.1 รอ. ต่อ และดัน อดีต ผบ.ร.21 รอ. ทหารเสือราชินี อย่าง ผู้การต่อ พ.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. คุมหน่วยบูรพาพยัคฆ์

และมี เสธ.อู๋ พ.อ.วุฒิชัย นาควานิช น้องชายของ พล.อ.ธีรชัย ขึ้นเป็น พลตรี ผบ.พล.ร.9 คุมกำลังด้านตะวันตก และกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี

ส่วนนายทหารระดับคุมกำลัง ตั้งแต่ระดับ ผู้บังคับหมวด ผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรม หรือ ผบ.พล. และ ผบ.มณฑลทหารบกต่างๆ ก็ล้วนเป็นนายทหารในสาย 3 ป. ที่วางรากอำนาจกันไว้ ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.อนุพงษ์ แล้วต่อด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งสิ้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ในความ “ใจถึง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็กล้าเลือกนายทหารที่ไม่ใช่บูรพาพยัคฆ์ มาเป็น ผบ.ทบ. แต่ทว่า ก็ได้วางหมากดักไว้รอบทิศแล้ว

แต่การมีรบพิเศษ เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ ก็ทำให้กองทัพบกมีชีวิตชีวา ตื่นเต้นขึ้น เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย แม้จะเป็นคนเงียบๆ สุขุม ไม่ค่อยพูด แต่เมื่อเอ่ยวาจาใดออกมา ก็ล้วน “คมกริบ” เปี่ยมความหมาย แถมเป็นนักฟุตบอลจอมฟิต

พร้อมๆ กับความคาดหวังที่จะเข้ามาแก้ปัญหาภาคใต้ ที่มี บิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช น้องชายบิ๊กหมู เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ก็เคยเป็นทหารรบพิเศษ ที่ทำงานด้านการข่าว ที่หน่วยข่าวกรองทางทหารกองทัพบก (ขกท.) มาตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ ก่อนจะมาทำงานภาคใต้ยาวนานกว่า 20 ปี

เพราะทุกวันนี้ ก็มีการจัดตั้ง ขกท.ส่วนหน้า ที่ชายแดนใต้ ในการทำหน้าที่เป็นหน่วยซักถาม และมีความรู้ด้านภาษา จนทำให้ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ธีรชัย เชื่อมือ พล.ท.ปิยวัฒน์

รวมถึงสถานการณ์ภายในประเทศ ทั้งการต่อต้านก่อการร้าย ภัยความมั่นคง และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งบนดินและใต้ดิน

“ผมคงไม่อาจรับประกันได้ว่า การที่ผมเป็นทหารรบพิเศษ จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ แต่ผมยืนยันว่าผมทุ่มเท และตั้งใจทำงาน ในวาระสุดท้ายของชีวิตรับราชการทหาร” พล.อ.เฉลิมชัย ออกตัวไว้แล้ว

พร้อมอ้อนแบบซื่อ ด้วยการ “ขอฝากเนื้อฝากตัว และขอให้เป็นกำลังใจ” ให้ด้วย

อีกทั้งการที่ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ ก็ล้วนเป็น ตท.16 ก็น่าจะช่วยทำให้เกิดทีมเวิร์ก ทั้ง บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกลาโหม บิ๊กจอม พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ.คนใหม่

ตท.16 จึงกลับมาถูกจับตามองอีกครั้ง เพราะถือว่าเป็นรุ่นที่รับไม้ต่อจาก ตท.14 และ ตท.15 จาก พล.อ.ธีรชัย บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกลาโหม และ บิ๊กเต้ พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผบ.สส. ที่จะเกษียณ

กระแส ตท.16 นี้ส่งผลให้ในกองทัพเรือ มีการตั้งความหวังไว้ที่ บิ๊กนุ้ย พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผบ.กองเรือยุทธการ ที่โผนี้ได้ขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทร. และถือว่าเป็นแคนดิเดตชิง ผบ.ทร. ในกันยายน ปี 2560 เมื่อ บิ๊กณะ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ เกษียณราชการ ไม่ได้ถูกเตะออกไปนอก ทร. เพราะ พล.ร.อ.ณะ บอกว่า ยึดระบบคุณธรรม

แต่ทว่า การที่ พล.ร.อ.ณะ ดัน บิ๊กลือ พล.ร.ท.ลือชัย รุดดิษฐ์ จาก ผบ.รร.นายเรือ มาเป็นเสนาธิการทหารเรือ เลยนี้ ก็ถูกจับตามองว่า สามารถจะขึ้นเป็น ผบ.ทร. ต่อได้เลย แต่นั่นย่อมหมายถึง พล.ร.อ.ณะ ตัดสินใจให้บิ๊กลือ เป็น ผบ.ทร. ยาวนาน 3 ปีเลย เพราะเกษียณกันยายน 2563

ว่าที่ พล.ร.อ.ลือชัย เป็นน้องชาย บิ้กโชย พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผช.ผบ.ทบ. ที่จะเกษียณกันยายนนี้ น้องรักสายตรงนายกฯ บิ๊กตู่ ถ้าได้เป็น ผบ.ทร. เลย ก็ย่อมปิดทางเตรียมทหารรุ่นพี่ๆ ทั้ง ตท.16 และ 17

หากดูจากโผ ทร. ครั้งนี้ พล.ร.อ.ณะ ก็เปิดช่องให้ตนเองได้ตัดสินใจในอนาคตว่าจะใช้สูตร 1:1:1 คือ ให้รุ่นพี่ ตท.16-17 เป็น ผบ.ทร. ก่อน คนละ 1 ปี ก่อนให้บิ๊กลือ ขึ้นเป็น ผบ.ทร. ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ หรืออาจใช้สูตร 1:2 คือมี ผบ.ทร. ขัดตาทัพก่อน 1 คน แล้วบิ๊กลือ ตท.18 ค่อยขึ้นเป็น ผบ.ทร. 2 ปี

เพราะมีการดันตัวเต็งและดาวรุ่งที่จะได้ขึ้นมาเป็น พลเรือเอก เช่น จาก ตท.17 คือ บิ๊กโบ้ พล.ร.ท.พูลศักดิ์ อุบลเทพชัย รอง เสธ.ทร. และ พล.ร.ท.รังสฤษดิ์ สัตยานุกูล ผบ.ทัพเรือภาค 1 ขึ้น พลเรือเอก รวมทั้ง ตท.18 อย่าง พล.ร.ท.โสภณ วัฒนมงคล รอง เสธ.ทร. ที่ขึ้น พลเรือเอก ที่ปรึกษาพิเศษ ทร.

รวมทั้งการดัน บิ๊กป๋อง พล.ร.ท.พัชร พุ่มพิเชษฐ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ และ บิ๊กตุ๋ย พล.ร.ท.พิเชฐ ตานะเศรษฐ เจ้ากรมยุทธศึกษา ทร. ขึ้นมาเป็น รอง เสธ.ทร. ไว้ด้วย

ขณะที่ทุ่งดอนเมือง นั้น บิ๊กตู่และบิ๊กป้อม วางตัว พล.อ.อ.จอม เป็น ผบ.ทอ. นาน 2 ปี เพราะเกษียณกันยายน 2561 พร้อมรับสถานการณ์เปลี่ยนผ่านทางการเมืองนั้น ในโผนี้ ก็ดัน บิ๊กต่าย พล.อ.ท.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน รอง เสธ.ทอ. แกนนำ ตท.18 ขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทอ. เป็นตัวเต็ง ผบ.ทอ.คนต่อไป ในห้าเสืออากาศ เพียงหนึ่งเดียว เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2562

ส่วนที่ บก.ทัพไทย นั้น บิ๊กปุย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ก็ผ่านฉลุยจาก เสธ.ทหาร เป็น ผบ.สส.คนใหม่ แบบไม่มีใครค้าน เพราะทั้งความสามารถ และการเป็นนายทหารอินเตอร์ ที่ได้รางวัล “ไอเซ่นฮาวร์” ของโรงเรียนเสนาธิการ ลีเวนเวิร์ธ ของสหรัฐอเมริกา สอบได้เป็นอันดับ 1 ในส่วนของนักเรียนต่างชาติ

โดยมี บิ๊กต๊อก พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ขยับมาเป็น เสธ.ทหาร จ่อเป็น ผบ.สส. ต่อในปีหน้า โดยเชื่อกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย คงไม่ถูกแซะจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. มาเสียบเป็น ผบ.สส.

ภาพรวมการจัดโผทหาร ฝีมือบิ๊กตู่ในคราวนี้ เรียกได้ว่า แยบยล และมองข้ามช็อต รองรับอนาคต แม้ว่าจะต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง ทั้งพี่ใหญ่ ที่อาจจะน้อยใจ ที่ถูกยึดอำนาจ หรือน้องเล็กหลายคน ที่ก็อาจจะผิดหวัง

แต่ก็เพื่ออนาคตที่มั่นคง แข็งแรง ของ 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ และผองพี่น้อง

รวมถึง ม็อตโต้ ของบิ๊กตู่ ที่ว่า Country First และไม่ให้เสียของ นั่นเอง