แปดเปื้อน-สิบสองเปื้อน

วงค์ ตาวัน

เหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกขึ้นมาอธิบาย ในการเตรียมตัวลงชิงเก้าอี้นายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มักจะบอกทำนองว่า ไม่ได้ต้องการอำนาจ แต่ประเทศชาติต้องไปต่อ หรือจำเป็นต้องทำงานต่อไปอีก เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา ยังมีปัญหาคั่งค้างอยู่อีกเป็นร้อยเรื่อง

เป็นเหตุผลที่คงรู้ดีว่า ในการลงสนามเลือกตั้งหนหน้านี้ จะต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า เป็นนายกฯ มา 8 ปีแล้ว ยังไม่พออีกหรือ ขนาดอยู่มา 8 ปียังแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วจะอยู่ต่อไปอีกหรือ

จึงทำให้ต้องประดิดประดอยถ้อยคำประเภท ที่เสนอตัวเป็นนายกฯ ต่อไปนั้น ไม่ใช่เพราะต้องการอำนาจ แต่ต้องการให้ประเทศไปต่อ

เอาเป็นว่า ถึงเวลาเลือกตั้ง คงจะได้รู้กันว่า คะแนนเสียงที่ออกมานั้น บ่งบอกว่าประชาชนยังอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งอยู่มา 8 ปีแล้ว ได้แก้ปัญหาต่อไปหรือไม่

หรือจะบอกว่า พอได้แล้ว อยู่มาถึง 8 ปีก็เต็มกลืนแล้ว

อันที่จริงฉายาที่สื่อมวลชนตั้งให้กับรัฐบาลและ ครม. ในตอนปีใหม่ ซึ่งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติมายาวนาน นายกฯ ทุกคนต้องโดนวิจารณ์เสียดสี โดยในปีใหม่ 2566 นี้ ฉายาที่นักข่าวตั้งให้กับนายกฯ ก็คือ “แปดเปื้อน”

เป็นการอธิบายถึงการเป็นนายกฯ มา 8 ปี ว่าทำให้เกิดความเสื่อมเช่นไร

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาวาระดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี แม้ว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์รอดพ้นการตกเก้าอี้ แต่ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สั่นคลอนภาพพจน์ของ พล.อ.ประยุทธ์อย่างรุนแรง เป็นข้อครหาถึงความชอบธรรมในการครองเก้าอี้นายกฯ ต่อเนื่องยาวนาน ขัดกับคำที่พูดเสมอว่า ไม่ยึดติดกับอำนาจ

อีกทั้งคดี 8 ปี ทำให้เป็นนายกฯ คนแรกที่ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนทำให้คนทั้งสังคมเคลือบแคลงในประเด็นนี้อย่างมาก ยังรวมไปถึงการที่อยู่ยาวนาน 8 ปี แล้วมีปัญหาพวกพ้องคนใกล้ชิด ขัดกับคำพูดที่ว่า ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง

ข้อเท็จจริงนั้นชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ครองเก้าอี้นายกฯ มา 8 ปีแล้ว เพียงแต่ในประเด็นข้อกฎหมาย ศาลวินิจฉัยว่า ให้นับตั้งแต่เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้ จึงทำให้ยังไม่ครบ 8 ปี เมื่อนับตามตัวบทกฎหมาย แต่ไม่ใช่ตามความจริง

เท่ากับว่า ชนะคดีเป็นนายกฯ ได้ด้วยเทคนิคทางข้อกฎหมาย

ขณะที่ความจริงก็คือ เป็นนายกฯ มา 8 ปี จนกลายเป็น 8 ปี ที่แปดเปื้อน!!

 

ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง พล.อ.ประยุทธ์กระโดดลงสนามอย่างเต็มตัว เพื่อชิงเก้าอี้นายกฯ อีกสมัย ภายใต้พรรคใหม่คือรวมไทยสร้างชาติ โดยเพิ่งเปิดตัวอย่างอลังการ บนเวทีใหญ่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แต่ไม่ใช่การเปิดตัวที่เกรียวกราวมากนัก เพราะไม่ได้แสดงแนวคิดวิสัยทัศน์อะไรที่ทำให้เห็นว่า จะสร้างความหวังให้กับอนาคตของประชาชนได้บ้าง

ที่สำคัญงานเปิดตัว พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนการเปิดตัวขุนพลรอบกายในพรรคใหม่ มีทั้งแกนนำ กปปส. และคนดังอย่างนายชัชวาลล์ คงอุดม หรือเฮียชัช เตาปูน

ผลสะเทือนจากการเปิดตัวเข้าพรรคใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับกลายเป็นกระทบไปถึงพรรคที่เป็นคนกันเองมากกว่า

มีการออกจากพลังประชารัฐ เพื่อตาม พล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่พรรคใหม่บางส่วน ออกจากประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่ง

จึงกล่าวได้ว่าเปิดตัวนายกฯ ไปพรรคใหม่ ไม่ได้ส่งผลต่อสังคมวงกว้างสักเท่าไหร่ กลายเป็นส่งผลกระทบต่อพรรคร่วมรัฐบาลเองเป็นสำคัญ

ประเด็นนี้อาจไม่เป็นผลดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์นัก เพราะการตัดสินใจทิ้งพลังประชารัฐไป ทั้งที่เป็นพรรคซึ่งส่ง พล.อ.ประยุทธ์นั่งเป็นนายกฯ มีผลทำให้เกิดอาการขาลอยอย่างปัจจุบันทันด่วน

หาก ส.ส.พลังประชารัฐส่วนใหญ่เกิดอาการขุ่นเคืองใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ทิ้งพรรคไป น่าคิดว่าท่าทีของ ส.ส.พรรคหลักของรัฐบาล จะแสดงออกต่อนายกรัฐมนตรี แบบไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

รวมไปถึงประชาธิปัตย์ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดตัวไปพรรคใหม่ของนายกฯ เช่นกัน ก็อาจจะกำลังคิดอะไรอยู่

น่าสนใจว่า ขณะนี้พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเแบบไม่มีการลงมติเอาไว้แล้ว น่าจะได้ฤกษ์อภิปรายในเดือนหน้า

ถึงเวลานั้น แม้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงโหวตหลังอภิปราย เพราะไม่มีการลงมติ แต่ในระหว่างการอภิปรายที่ฝ่ายค้านคงรัวถล่มแหลก จะเหลือ ส.ส.อีกกี่คน ที่จะทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์

คงได้โดนอภิปรายอ่วมอรทัย โดยไม่มี ส.ส.รัฐบาล คอยช่วยตัดเกมของฝ่ายค้าน

ยิ่งเป้าหมายของฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจงวดนี้คือ การเปิดแผลรัฐบาล เพื่อให้ส่งผลต่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง คงได้ลุยชำแหละกันแหลกลาญ

สถานการณ์ในสภาสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จึงน่าเป็นห่วงอย่างมาก หลังจากเปิดตัวเข้าพรรคใหม่

เพราะเท่ากับการทิ้งพลังประชารัฐ ทำให้ตัวเองขาดเสียงสนับสนุนไปอย่างฉับพลันทันที

 

ดูจากขุมพลังของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปเข้าร่วม และเตรียมจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ บรรดาเซียนการเมืองมองว่า พรรคนี้ยังไม่มีมืออาชีพตัวจริงสักเท่าไหร่ โอกาสจะได้รับเลือกเข้ามาเป็นพรรคใหญ่ยังไม่น่าจะเป็นไปได้

เชื่อว่า ไม้ตายของพรรคนี้มีไม้เดียว นั่นคือ การเอาเสียง 250 ส.ว. ที่ยังเป็นเสียงสำคัญในการโหวตตัวนายกฯ มาเป็นจุดดึงดูด ส.ส.ให้มาเข้าพรรคให้มากกว่านี้ เพื่อสร้างโอกาสให้กลายเป็นพรรคมีอันดับขึ้น

แต่ข้อเท็จจริงแล้ว เสียง 250 ส.ว. จำนวนครึ่งหนึ่งอยู่ในมือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งพลังประชารัฐ มาร่วมพรรคใหม่ บ่งบอกอยู่แล้วว่า สัมพันธ์ของ 3 ป. และของพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จะชู 250 ส.ว. เป็นฐานเสียงเหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ไม่ได้อีกแล้ว เพราะความจริงเสียง ส.ว.ของ พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

แถมกระแสของพรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายประชาธิปไตยก็กำลังมาแรงอย่างมาก ยิ่งประชาชนยากลำบากด้านปากท้อง ก็จะนึกถึงความสามารถในการสร้างเศรษฐกิจให้รุ่งเรืองของเพื่อไทยกันถ้วนหน้า

แล้วถ้าผลเลือกตั้งออกมาแบบแลนด์สไลด์ จนทำให้เสียง 250 ส.ว. ไม่ใช่เสียงชี้ขาดในการโหวตนายกฯ อีกต่อไป นั่นจะยิ่งทำให้จุดขายของ พล.อ.ประยุทธ์ หมดสิ้นไป

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมลงชิงนายกฯ อีกสมัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นยิ่ง

หลายคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนว่า 8 ปีที่ผ่านมา ยังไม่พอ จะขอไปต่อ แม้ว่าตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ บ่งบอกว่าจะเป็นนายกฯ ได้ถึงปี 2568 เท่านั้น ก็จะครบวาระ 8 ปี

หมายความว่า การลงชิงนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เป็นการขอเป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปี ซึ่งก็นับว่าพิลึกพิลั่นมาก หากจะไปเลือกพรรคนี้ เลือกแล้วได้นายกฯ แค่ครึ่งเทอม

แต่ก็มีความเคลื่อนไหวของบรรดามือซ้ายขวา พล.อ.ประยุทธ์ ทำนองว่า กำลังหาช่องทางพลิกแพลงเพื่อดัน พล.อ.ประยุทธ์ให้ไปต่อจนครบเทอม 4 ปี

โดยอาจจะยื่นร้องตีความใหม่ หรืออาจจะเดินเครื่องแก้รัฐธรรมนูญยกเลิกการกำหนดวาระนายกฯ 8 ปี เปิดฟรีไปเลย

เท่ากับว่า 8 ปีมาแล้วก็ยังไม่พอ จะขอต่อไปให้ถึง 10 ปี 12 ปีให้ได้

นั่นก็เป็นความคิดฝันของ พล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้อง

แต่โอกาสจะไปถึงฝั่งฝันคราวนี้ ถือว่าค่อนข้างยาก เพราะเสียง 250 ส.ว.ก็ไม่เหมือนเดิม ความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตรก็เปลี่ยนไป แล้วถ้าเพื่อไทยชนะแบบแลนด์สไลด์ก็ยิ่งจบ

จับตากันต่อไป แปดเปื้อนจะฝันไปถึงสิบสองเปื้อน เป็นไปได้หรือไม่!?