โบกมือลารัฐบาลถ่วงความเจริญประเทศ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

นักการเมืองและนักรัฐศาสตร์มักใช้คำว่า “รัฐล้มเหลว” กับประเทศที่ระบบการเมืองอ่อนแอจนรัฐควบคุมอะไรไม่ได้เลย และถึงแม้ประเทศไทยจะมีหลายรัฐบาลที่ถูกโจมตีว่าเป็น “รัฐล้มเหลว” เพราะประชาชนต่อต้านอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่เละถึงขั้นคุมอะไรไม่ได้จริงๆ

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยถูกโจมตีว่าเป็นรัฐล้มเหลวหลังปราบปรามคนเสื้อแดงปี 2553 แต่การจับคนเสื้อแดงจำนวนมากคือหลักฐานว่ารัฐบาลที่ประชาชนต่อต้านไม่แน่ว่าจะเป็นรัฐล้มเหลว และถึงแม้คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะถูกต่อต้านหลังผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมปี 2556 ประเทศไทยก็ไม่ได้เกิดรัฐล้มเหลวอยู่ดี

รัฐบาลประยุทธ์ในวันนี้ไม่ได้มีคนต่อต้านมากเหมือนที่เคยมีในปี 2563 จึงไม่เข้าข่ายเป็นรัฐล้มเหลวแน่ๆ

แต่คำถามสำคัญคืออะไรคือประโยชน์ที่คนไทยได้จากการมีคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ, มีรัฐบาลแบบนี้ในปัจจุบัน และจะมีคนแบบนี้เป็นรัฐบาลต่อไปในอนาคต

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

คนไทยแต่ละกลุ่มมีความทุกข์ต่างกัน แต่หากใครลงพื้นที่เพื่อฟังทุกข์ประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ฟังเพื่อเอาหน้า, ฟังเพื่อแซะรัฐบาล หรือฟังเพื่อดิ้นรนเป็นรัฐบาลเอง ปัญหาที่คนทุกพื้นที่พูดเหมือนกันสูงที่สุดได้แก่ ปัญหาหนี้สิน, ปัญหาการทำมาหากิน, ปัญหายาเสพติด และปัญหารัฐบาลเผด็จการ

หากตัดปัญหาเผด็จการซึ่งเป็นธาตุแท้ของรัฐบาลนี้จนแก้ไม่ได้ทิ้งไป ครั้งสุดท้ายที่คุณประยุทธ์และพวกพูดถึงการแก้ปัญหาใหญ่อย่างหนี้สิน, ความยากจน, ยาเสพติดระบาด ฯลฯ ล้วนนานจนจำไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ปัญหาพื้นฐานที่สุดอย่างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ล่าสุด แม้กระทั่งเรื่องรถไฟภาคใต้ถูกวางระเบิดซ้ำซ้อนจนเจ้าหน้าที่ตาย 3 คน ก็ไม่มีรัฐมนตรีหน้าไหนพูดอะไร คุณประยุทธ์ซึ่งคุมตำรวจและทหารไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้เป็นพิเศษเรื่องนี้ คุณอนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งคุมผู้ว่าฯ และมหาดไทยก็ไม่พูดสักแอะ

หรือพูดตรงๆ คือประเทศไทยวันนี้มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี

ไม่ว่าคุณประยุทธ์และกองเชียร์จะสดุดีคุณประยุทธ์เองอย่างไร ความจริงวันนี้คือคุณประยุทธ์สนใจแค่เรื่องเป็นรัฐบาลต่อโดยไม่ใส่ใจทำงานแล้ว คุณประยุทธ์คิดถึง “การเมือง” ยิ่งกว่า “บ้านเมือง” โดยที่ “การเมือง” ของคุณประยุทธ์ก็หมายถึงการทำทุกอย่างให้ตัวเองมีอำนาจต่อไปเท่านั้นเอง

รัฐไทยปัจจุบันทำงานได้จนไม่มีปัญหารัฐล้มเหลว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือรัฐมีผู้นำที่ล้มเหลวซึ่งมีอำนาจโดยไม่ใช้อำนาจเพื่อประชาชน และระยะเวลาที่รัฐอยู่ภายใต้ผู้นำที่ล้มเหลวราวสิบปีนั้นนานพอ จะทำให้รัฐเฉื่อยชาและกลไกรัฐกลายพันธุ์เป็นรัฐถดถอยที่ไร้สมรรถนะจนไม่มีประโยชน์อะไร

หากวันนี้คุณประยุทธ์และพวกแก่ตายหรือจากไปด้วยโรคร้ายอย่างหนึ่งอย่างใด ผลซึ่งจะเกิดขึ้นกับประชาชนก็คงมีน้อยมาก เพราะคุณประยุทธ์ทำให้ “การเมือง” เป็นเรื่องการแย่งอำนาจระหว่างคุณประยุทธ์กับประชาชนกลุ่มต่างๆ จนไม่มีอะไรจับต้องได้ว่าเป็นผลงานที่คุณประยุทธ์สร้างไว้จริงๆ

ด้วยความเป็นจริงที่คุณประยุทธ์และพวกหมกมุ่นรักษาอำนาจเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเช็กบิล ข่าวใหญ่ที่เกี่ยวกับคุณประยุทธ์จึงมีแต่ข่าวการเมืองประเภทตั้งพรรคเพื่อเป็นนายกฯ ต่อ, ใช้เงินดูด ส.ส.ไปพรรคใหม่, วางแผนลับลวงพรางยึดทำเนียบสิบปี หรือแม้แต่ชวนนักการเมืองโกหกประชาชน

ไม่ว่าจะเป็นข่าวคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ไปพลังประชารัฐเพื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือข่าวคุณประยุทธ์ยอมรับว่าจะไปรวมไทยสร้างชาติและขอเป็นนายกฯ อีก 2 ปี

ภาพคุณประยุทธ์และพวกที่ประชาชนเห็นคือภาพนักการเมืองใกล้ลาโลกที่ละโมบจนไม่มีใครพูดสักคำว่าสิ่งที่ทำไปนั้นประชาชนได้อะไร

(Photo by Jack TAYLOR / AFP)

แปดปีของคุณประยุทธ์ผ่านไปโดยไม่มีนโยบายหลักที่เป็นผลงานซึ่งประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมหภาคอย่างลดความเหลื่อมล้ำ, เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก, การแก้ปัญหาหนี้เกษตรกร, รถไฟความเร็วสูง หรือแม้แต่เรื่องปลีกย่อยอย่างขายล็อตเตอรี่เกินราคา

ถ้าผลงานคือภาพสะท้อนของนโยบาย ชาวต่างชาติซึ่งมาเมืองไทยในปีที่ 8 ของคุณประยุทธ์อาจคิดว่านโยบายหลักของรัฐบาลได้แก่ ประกันค่าแรง 300 บาทตลอดชีวิต, ปุ๋ยแพง, ข้าวราคาตก, เบี้ยคนชราวันละ 20 บาท, ยกเลิกรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี, น้ำประปากินไม่ได้ และปล่อยจีนเทายึดเมืองไทย

คุณประยุทธ์ใช้ปืนจ่อหัวประชาชนแล้วตั้งตัวเองเป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 2557 โดยหลอกลวงประชาชนว่าจะปฏิรูปประเทศ

แต่ปฏิรูปหมายถึงการทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญอย่างช้าๆ ขณะที่ผลงานของรัฐบาลในรอบกว่า 8 ปีคือการถ่วงความเจริญจนประเทศถอยหลังทุกด้านอย่างรวดเร็ว

ตรงข้ามกับรัฐบาลที่มีเหมือนไม่มีและผลงานแย่จนไม่รู้จะเป็นรัฐบาลต่อไปทำไม ความเคลื่อนไหวในเชิงนโยบายที่จะทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้นกลับไปอยู่ฝ่ายค้านทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น พรรคเพื่อไทยเสนอค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท หรือพรรคก้าวไกลเสนอสวัสดิการคนชราคนละ 3,000 บาทต่อเดือน

แน่นอนว่าทั้งสองนโยบายนี้มีธรรมชาติที่ต่างกัน นโยบายของก้าวไกลช่วยผู้สูงวัยวันละ 100 โดยใช้งบประมาณรัฐจากการปรับระบบภาษีและลดงบประมาณซึ่งไม่จำเป็น

ส่วนเพื่อไทยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยนายจ้างจ่าย แต่ทั้งหมดที่สังคมจะได้คือการยกระดับนโยบายรายได้และสวัสดิการประชาชน

เมื่อคำนึงถึงบำเหน็จบำนาญที่ประเทศนี้เก็บจากภาษีประชาชนไปจ่ายข้าราชการเกษียณอายุคนละ 4-5 หมื่น เม็ดเงินที่คุณประยุทธ์ให้ผู้สูงวัยที่เป็นคนธรรมดาวันละ 600 ต่ำกว่าข้าราชการเกือบ 100 เท่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ สวัสดิการผู้สูงอายุแบบก้าวไกลจึงเป็นเรื่องที่ประเทศนี้ต้องทำทันที

เมื่อคำนึงว่าค่าจ้างขั้นต่ำทุกวันนี้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายจริงของคนงาน เมื่อคำนึงว่าต้นทุนค่าแรงเป็นสัด ส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตสินค้าและบริการทั้งหมด และเมื่อคำนึงว่าค่าแรงขั้นต่ำขึ้นต่ำกว่า “ผลิตภาพ” ที่คนงานไทยผลิตได้ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วยเช่นกัน

ด้วยการถกเถียงเรื่องนโยบายแบบนี้ ถ้าประเทศไทยจะมีอนาคตอยู่บ้าง อนาคตก็อยู่ที่ชัยชนะในการเลือกตั้งเพื่อตั้งรัฐบาลของฝ่ายค้านเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ที่การให้รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลต่อไป ไม่ว่าจะในนามของพลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่การดึงพรรคเหล่านี้ร่วมรัฐบาล

จริงอยู่ว่านโยบายของเพื่อไทยและก้าวไกลมีคำถามหลายเรื่องที่ต้องตอบในแง่บริหารนโยบาย แต่คำถามไม่ได้แปลว่านโยบายมีปัญหาหรือต่อต้านนโยบาย เพราะนโยบายของรัฐบาลหรือพรรคไหนก็ต้องถูกสังคมขัดเกลาทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้น ตราบใดที่ไม่ใช่เทวดาได้โนเบลมาออกนโยบาย

ในกรณีเพื่อไทย คำถามใหญ่ไม่ใช่เรื่องควรหรือไม่ควรขึ้นค่าแรง แต่คำถามคือเพื่อไทยจะขึ้นค่าแรงเท่าไรเมื่อเป็นรัฐบาลในปี 2566 เพราะจะเชื่อมโยงกับการขึ้นค่าแรงในปีที่เหลือเพื่อไปถึงเป้าหมายเรื่อง 600 บาทในปี 2570 หรือแม้กระทั่งเรื่องของการเพิ่มทักษะเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม

ตรงข้ามกับฝ่ายค้านที่แข่งกันเสนอนโยบายเพื่อชนะใจประชาชน รัฐบาลวันนี้ทำเรื่องนโยบายเพื่อชนะเลือกตั้งครั้งหน้าน้อยมาก การเมืองของรัฐบาลคือการระดมนักการเมืองบ้านใหญ่เข้าพรรคด้วยการให้เงินและตำแหน่งต่างๆ หรือไม่ก็คือการรีแบรนด์เพื่อสร้างภาพให้กลับเข้ามาเป็นรัฐบาล

แม้เพื่อไทยจะมีโอกาสสูงในการชนะเลือกตั้งปี 2566 ข้อเท็จจริงคือคุณประยุทธ์และคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ มี ส.ว. 250 คนที่พร้อมหนุนตัวเองเป็นนายกฯ โจทย์ใหญ่ของพรรคฝ่ายรัฐบาลจึงได้แก่การเลือกว่าจะอยู่กับพลังประชารัฐหรือรวมไทยสร้างชาติ ถัดจากนั้นก็คือการแตะมือเพื่อไทยเป็นบันไดหนีไฟ

เพื่อไม่ให้ถูกโจมตีว่าเป็นพวกประยุทธ์จนหมดทางเลือกทางการเมือง พลังประชารัฐวันนี้ต้องสร้างภาพว่าไม่ใช่พวกประยุทธ์โดยประกาศว่าแยกทางกันแล้ว รวมทั้งดึงคนเคยวิจารณ์คุณประยุทธ์อย่างคุณมิ่งขวัญและคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ มาเป็นพวก ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการทำเพื่อประชาชน

ขณะที่การเมืองน้ำเน่ากำลังตลบอบอวลทั่วรัฐบาล ประชาชนกำลังคาดหวังให้พรรคที่ไม่ใช่พวกรัฐบาลออกนโยบายเพื่อพาประเทศออกจากหายนะที่เกิดจากรัฐบาลประยุทธ์ อนาคตใหม่ของประเทศคือการมีรัฐบาลที่ไม่มีคุณประยุทธ์และพวก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่ประเทศจะฟื้นขึ้นได้เลย

หมดเวลาแล้วสำหรับรัฐบาลที่ถ่วงความเจริญจนประเทศไม่มีอะไรดีขึ้นกว่า 8 ปี