ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
จากรวมพลเยาวชนปาตานีที่สายบุรี
สู่การแข่งขันยิงธนูที่เบตง
จุดร่วมและจุดต่างกับความท้าทายกระบวนการสันติภาพ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด และผู้เจริญรอยตามท่าน รวมทั้งผู้อ่านทุกท่าน
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 มีภาพกิจกรรมที่สร้างความฮือฮารวมทั้งดราม่าจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการรวมตัวกันของเยาวชนเรือนหมื่นในพื้นที่ ที่บริเวณชายหาดวาสุกรี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
กิจกรรมดังกล่าวเป็นการรวมตัวของเยาวชนมลายูมุสลิมชายแดนใต้ ซึ่งภาษาถิ่น ภาษามลายู เรียกว่า “เปอร์มูดอ” ในกิจกรรม Perhimpunan MalayS RAYA 2022 จัดโดยองค์กรที่ชื่อว่า Civil Society Assembly For Peace หรือ CAP
การรวมตัวเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 13.00-16.30 น. มีเยาวชนที่แต่งกายตามอัตลักษณ์มลายูและวัฒนธรรมท้องถิ่นเดินทางโดยหลากหลายพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลากรูปแบบทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ และเดิน (หมู่) มารวมตัว ว่ากันว่ากว่า 30,000 คน
กิจกรรมทั้งหมดเน้นความเป็นมลายูชายแดนภาคใต้ หรือคนที่นี่เรียกว่า ปาตานี เช่น เพลงและวงดนตรี มีการถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน
หากมีแค่นี้คงไม่มีดราม่า แต่กิจกรรมที่ดราม่ามากที่สุดคือมีการกล่าวปฏิญาณตนเป็นภาษามลายูและตะเบ๊ะ
สำหรับคำปฏิญาณตน Rokit U-seng ได้แปลคำปฏิญาณตนของเยาวชนที่ถูกแชร์ในโลกโซเชียล ดังนี้
4 คำสาบานของเยาวชน/พลังเยาวชน ในฐานะประชาชน
ขอสัญญาต่อพระเจ้าว่า เราอาสาที่จะเสียสละจิตวิญญาณ ร่างกาย ทรัพย์สิน และความรู้ ตลอดจนประสบการณ์ เพื่อรับใช้ทุกกิจกรรมทางสังคมและความเป็นพลเมืองไว้ด้วยความมั่นคง และความตระหนักถึงความสงบสุขของชนชาติมลายูปาตานี
เราสัญญาว่า จะยินยอมให้การคุ้มครองและปกป้องความทุกข์ทรมานของประชาชนเพื่อขจัดการกดขี่ทุกรูปแบบ
เราสัญญาว่า จะยืนหยัดและเชิดชูไว้สูงซึ่งคุณค่าแห่งความยุติธรรมและความเป็นมนุษย์
เราสัญญาว่า จะซื่อสัตย์ต่อศาสนา บ้านเกิดเมืองนอน ชนชาติ และแผ่นดินเกิด เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
(อ่านเพิ่มเติมใน https://share.csitereport.com/share.php?post_id=0000023945)
การรวมตัวเยาวชนมลายูชายแดนภาคใต้นี้ พ.อ.เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวกับสำนักข่าวแห่งหนึ่งว่า “ถามว่ากิจกรรมเยาวชนมลายูมุสลิมชายแดนใต้ ซึ่งภาษาถิ่น ภาษามลายู เรียกว่า ‘เปอร์มูดอ’ รวมตัวเพื่ออะไร ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของการประชันชุดมลายูจริง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ถือเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้วที่ให้ส่งเสริมอัตลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ เพราะทุกภาคของประเทศไทยก็มีอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่อยู่ ถือเป็นเรื่องที่ดี”
“แต่ถ้าหากมารวมตัวกันแล้ว มีการดำเนินการหรือทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ทำอะไรที่ไม่ดี ก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้ามารวมตัวกันเพื่อทำในสิ่งดีๆ ก็ไม่น่ากังวล ยิ่งกว่านั้นก็ควรที่จะส่งเสริม ซึ่งก็ต้องดูพฤติกรรม นอกจากที่มารวมตัวกันแล้ว ยังมีกิจกรรมอะไรที่หมิ่นเหม่บ้างหรือเปล่า มีกิจกรรมที่กระทำแล้วผิดกฎหมายหรือเปล่า”
“ถ้าแค่รวมตัวกันเฉพาะประชาชนในเรื่องของอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นก็ถือว่าไม่ผิด ไม่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง”
“แต่ถ้าหากมีอะไรที่มากกว่านั้น มีความเกี่ยวข้องกับกับด้านความมั่นคง มันก็ต้องดู ซึ่งถ้ารวมตัวกันและทำสิ่งผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญก็ไม่น่าจะทำได้” (สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/article/south-news/south-slide/108581-permudatani.html)
ทัศนะ กอ.รมน. สอดคล้องกับข้อสังเกตของคนพุทธในพื้นที่ที่สะท้อนว่า อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่ออกมาแสดงพลังรักษาอัตลักษณ์มลายู และรัฐควรจะสนับสนุน
แต่การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีนัยยะอะไรหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ ซึ่งแน่นอนคนที่รู้ดีก็คือคนในพื้นที่นั่นเอง
ระหว่างวันที่ 6-8 พฤษภาคม 2565 ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ศอ.บต.ได้จัดการเเข่งขันยิงธนูโบราณ Amazean Archery 2022 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้การแข่งขันวิ่งเทรล ในรายการ “Amazean Jungle Trail 2022”
โดยผู้เข้าร่วมการแข่งขันแต่งชุดมลายูถิ่น และผ้าลือปัส บรรยากาศทางอัตลักษณ์วัฒนธรรมอันเป็นจุดร่วมที่มิได้ต่างจากการรวมตัวทำกิจกรรมของเยาวชน
แต่ด้วยการจัดงานเป็นของรัฐจึงมิได้มีเรื่องดราม่าและถูกตั้งข้อสังเกตจากหน่วยความมั่นคง การแต่งกายของนักกีฬายิงธนูเทรดดี้
มูฮัมหมัดรุสดี เชคฮารูณ รองโฆษกพรรคประชาชาติ มาร่วมกิจกรรมเปอร์มูดอนี้ด้วย ให้ทัศนะว่า “อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ มีความห่วงใยต่อกลุ่มเยาวชน กังวลว่าอาจจะมีผู้ไม่หวังดีมาก่อกวน หรืออาจมีการคุกคามจากคนบางกลุ่ม จึงให้มาสังเกตการณ์ ซึ่งกิจกรรมผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ขอชื่นชมกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มาร่วมกิจกรรมดีๆ”
“…การรวมพลของนักเรียน นักศึกษา เยาวชน คนรุ่นใหม่ที่นี่มีแต่ความรัก รักต่อเพื่อนพี่น้อง รักต่ออัตลักษณ์วัฒนธรรม รักและศรัทธาต่อพระเจ้า และรักต่อมาตุภูมิ พวกเขาประกาศสถาปนาวันฮารีรายอที่ 3 ของทุกปี เป็นวันคนรุ่นใหม่ชายแดนภาคใต้/ปาตานี (Hari Pemuda Patani) ซึ่งจะนัดรวมพลแบบนี้ทุกปีนับแต่จากนี้ไป มีการกล่าวคำปฏิญาณว่า จะยอมพลีเพื่อรักษาไว้ซึ่งชาติพันธุ์ ศาสนา และประชาชน พร้อมทั้งกล่าวสรรเสริญพระเจ้า ‘อัลลอฮุอักบัร’ โดยพวกเขาเรียกตัวเองว่า Persatuan Pemuda Patani”
กิจกรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์วิถีมลายูชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะภาษามลายูนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้สะท้อนถึงความสำคัญของภาษามลายูมิใช่เฉพาะคนชายแดนภาคใต้ แต่ในภาพรวมประเทศไทยทั้งหมดว่า “สำหรับประเทศไทยแล้วคนชายแดนใต้นั้นพร้อมสู่สังคมอาเซียนเพราะบทบาทผู้รู้ศาสนาและการศึกษาในอดีตและปัจจุบันมีเพิ่มขึ้น ในขณะที่รัฐบาลควรหนุนเสริมภาษามลายูซึ่งกำลังเป็นภาษาอาเซียนที่จะเอื้อทั้งสังคมและเศรษฐกิจในประเทศหลังถูกแช่แข็งมานานช่วงรัฐบาลเผด็จการในอดีต พร้อมฝากคนมลายูชายแดนภาคใต้ควรเปิดพื้นที่ภาษามลายูแก่คนไทยทั้งชาติ”
รอมฎอน ปันจอร์ คณะทำงานของคณะก้าวหน้าชายแดนใต้/ปาตานี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญประเด็นชายแดนภาคใต้และร่วมลงพื้นที่สังเกตการณ์ กล่าวกับ THE STANDARD ว่า
“ถ้าฟังจากที่พูดคุยกันในกิจกรรม ในคำปฏิญาณตนที่กล่าวในกิจกรรม รวมถึงรูปแบบและแบบแผน ก็มีการพูดถึงความเป็นตัวตน ความเป็นมลายูปาตานี พูดถึงเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม พูดถึงการเสียสละของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ก่อนหน้านี้เรื่องพวกนี้มันกระจัดกระจายคนละที่ คนละหมู่บ้าน แต่ครั้งนี้พอมารวมก็ย่อมมีนัยอีกแบบหนึ่งในแง่ของจำนวน”
“…จะเรียกกิจกรรมนี้เป็นการชุมนุมก็ไม่เชิง เพราะไม่มีข้อเรียกร้องต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่เป็นการรวมตัวเพื่อเรียกร้องต่อตนเอง ซึ่งดูได้จากคำปฏิญาณตนที่บอกว่าให้เสียสละเพื่อสร้างความยุติธรรมก็ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ และไม่แปลกที่หน่วยงานความมั่นคงบางส่วนจะรู้สึกอึดอัด แต่ก็ต้องนับถือน้ำใจที่เปิดโอกาสให้มีกิจกรรมอย่างนี้ เพราะการรวมพลนี้ไม่มีการตั้งด่านสกัด ถือเป็นสัญญาณบวกต่อกระบวนการสันติภาพ”
“ถ้าเราอยากแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี เราไม่อยากใช้ความรุนแรง เราต้องทำให้การใช้ความรุนแรงไม่มีอำนาจต่อรองมากเท่ากับการส่งเสียง การเรียกร้องในทางการเมือง หรือพูดอีกแบบคือการขยายพื้นที่ทางการเมืองของฝ่ายต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แม้ว่าจะมีเสียงที่แตกต่างหรือเห็นแย้งและน่าอึดอัดใจขนาดไหน แต่เมื่อพื้นที่แบบนี้มีมากขึ้น การใช้กำลังของทุกฝ่ายก็จะน้อยลง แต่หากเมื่อใดความรุนแรงถูกเลือกใช้ไม่ว่าจากฝ่ายใด ก็จะส่งผลให้ลดพื้นที่ทางการเมือง”
ทัศนะของรอมฎอนดูสอดคล้องก็นักกิจกรรมในพื้นที่อย่างนายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผอ.สำนักปาตานีรายงานเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) ซึ่งสะท้อนว่า
“ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดสำคัญในความสำเร็จของ ‘ข้อตกลงริเริ่มลดความรุนแรง’ ในห้วงเดือนรอมฎอน 30 วัน และอีก 11 วันของเดิอนเซาวาล เป็น 41 วัน ตามข้อตกลงบนโต๊ะพูดคุย/เจรจาครั้งที่ 4 ที่ผ่านมา”