ขอบคุณข้อมูลจาก | คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12มติชนรายวัน (28/08/59) |
---|---|
เผยแพร่ |
“อยู่ด้วยกลไกประชาธิปไตย ให้สง่างาม แต่จะมาอย่างไรก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
นั่นคือคำพูดล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงอนาคตการเมืองตนเอง
ถือเป็นการให้การบ้านแก่เหล่าเนติบริกรทั้งหลายไปทำ
แน่นอน การเข้าทางตรอกออกทางประตูนั้นดีแน่
แต่การมุ่งมั่นเกินไป เช่น พยายามทำตรอกกว้างๆ เกินไป
บางทีมันก็ไม่น่าดู
ตอนแรกจะชมคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสียหน่อย ที่ไม่ยอมตามใจเหล่าสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่อยู่ๆ จะเนรมิตตรอกธรรมดาๆ ให้กลายเป็นตรอกข้าวสารอันใหญ่โต
หวังอำนวยความสะดวกคนมีฝันที่จะก้าวสู่ “นายกรัฐมนตรี” ให้สบายๆ
แต่มาคิดอีกที การไม่ยอมทำตามของ กรธ.นั้นก็เพราะมีวาระของตนเองอยู่เช่นกัน
กรธ.รู้ดีว่า การตีความ “คำถามพ่วง” ไม่ต้องทำอย่าง “สนช.” เสนอก็ได้ แค่ให้ตรอกได้มาตรฐานเดินสบายๆ ก็พอแล้ว
เพราะการเดินผ่านตรอกนั้นได้ มีกฎเหล็กคุมไว้อยู่ว่า ผู้นั้นจะต้องได้คะแนนเสียงเกินครึ่งของสมาชิกรัฐสภา ซึ่ง “มหึมา” มาก จึงจะมีสิทธิไปต่อ
หัวหน้าพรรคการเมืองไหนๆ ที่ผ่านการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ไม่มีปัญญาจะได้เสียงผ่านไปแน่ๆ
แล้วจะไปกรุยดินเปิดตรอกให้กว้างเสียแรงอย่างที่ สนช.เสนอทำไม
ฝุ่นคลุ้งให้คนรำคาญใจเปล่าๆ
ตรอกนี้ยังอีกยาวนัก
กล่าวคือ ไม่ใช่แค่อำนวยความสะดวกให้ “เดินสบาย” เท่านั้น
หากแต่ต้องเก็บกวาดสิ่งกีดขวาง สามม สามานย์ ให้หมดจดด้วย
ชนิดวิ่งไปมา 5 ปี ไม่มีหลุมบ่อให้สะดุดหกล้ม นั่นคือเป้าหมายจริงๆ
นี่ไม่ได้พูดเอาเอง
แต่หยิบมาจากคำพูดของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เอง
“กรธ.ต้องเดินต่อ กรธ.ต้องอาศัยทุกภาคส่วนทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะบางเรื่องอาจมีการพลิกโฉมหน้า ต้องค่อยๆ พลิก ค่อยๆ ดู ค่อยๆ รับฟัง”
ชัดเจน ใสแจ๋ว ว่าทำไม กรธ.จึงต้องขัดใจ สนช.
เพราะเกิดไปเออออห่อหมก ยอมให้วุฒิสภามีโอกาสเสนอชื่อนายกฯ ด้วยเหตุผลที่ “สีข้าง” แดงเถือก ตามที่ สนช.ออกมาเสนอตั้งแต่ปากตรอก เสียภาพเปล่าๆ ไร้ประโยชน์
เพราะอย่างที่บอกข้างต้น อยู่เฉยๆ “นักการเมือง” ก็ไม่มีกำลังพอที่จะเสนอชื่อคนมาแข่งเพื่อชิงนายกรัฐมนตรีได้หรอก
หรือถ้า “หัวแข็ง” เกิดมีคนแข่งขึ้นมา
ให้กลับไปอ่านคำพูดของนายมีชัยข้างต้นอีกรอบ
นายมีชัยพูดคำว่า “พลิกโฉมหน้า” ซึ่งคงจะไม่สามารถตีความเป็นอื่นได้ นอกจากเขาเตรียมคำตอบให้ พล.อ.ประยุทธ์แล้วละว่า “จะมาอย่างไร”
โดยเฉพาะที่จะบรรจุไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับนั้น มีทีเด็ดและพลิกโฉมหน้าแน่
และฝ่ายที่จะต้องถูกพลิกโฉมก็คือพรรคการเมือง-นักการเมืองนั่นเอง
ซึ่งดูตามเกมและตามการออกแบบแล้ว เผลอๆ ไม่ใช่เราจะได้นายกฯคนนอกที่สง่างามเพียงอย่างเดียว
ระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปี อาจจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
บางคนอาจจะฝันแวบๆ ถึงการได้อยู่ทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เสียด้วยซ้ำ
ราบรื่นไปเสียอย่างนี้ สิ่งที่ต้องระวังอย่างเดียวก็คือตัวเอง
เข้าทางตรอกออกทางประตูนั้นดีแน่
แต่ขึ้นชื่อว่าตรอก ถึงอย่างไรก็ยังเป็นตรอก มันมีข้อจำกัดทางกายภาพอยู่
เห็นทางราบรื่นก็อย่าเผลอตัวคิดว่าตัวเองอยู่บนทางด่วน ใจร้อนเหยียบคันเร่งจนลืมเบรก
เพราะอาจเกิดการ “พลิกโฉมหน้า” ขึ้นได้
แต่โฉมหน้าที่พลิกไปนั้น อาจไม่ใช่นายกฯคนนอกผู้สง่างามคนนั้นก็ได้–โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนดอก!