มองเหตุโจมตีในบาร์เซโลน่า ทำไม ‘ยานพาหนะ’ กลายเป็นตัวเลือกสร้างความหวาดกลัว

วันที่ 18 สิงหาคม ชีวิตอันแสนสงบของชาวเมืองบาร์เซโลน่าต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมในทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์รถตู้วิ่งด้วยความเร็วเข้าพุ่งใส่ฝูงชน จนมีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บ 80 คน เมื่อวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นหรือช่วงเช้าที่ผ่านมา แม้จะมีความพยายามทำแบบเดียวกันอีกครั้งที่เมืองคาบริชทางตอนใต้ของบาร์เซโลน่าแต่ถูกตำรวจสกัดไว้ และผู้ต้องสงสัยถูกยิงระหว่างหนีการจับกุม 5 ราย บาดเจ็บ 4 แต่ 1 รายเสียชีวิตเพราะทนผิดบาดแผลไม่ไหว กลายเป็นการโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดและถูกระบุว่าเป็นปฏิบัติการก่อการร้ายโดยกลุ่มไอเอสที่ออกมารับผิดชอบครั้งนี้

การก่อการร้ายด้วยการใช้ยานพาหนะพุ่งใส่ผู้คน นับเป็นครั้งที่ 6 แล้วในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการก่อการร้ายลักษณะนี้ทั่วยุโรป โดยก่อนหน้านี้ที่สร้างความเสียหายมากที่สุด เกิดขึ้นที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ในขณะที่ประชาชนกำลังฉลองวันชาติฝรั่งเศสหรือวันบาสตีลย์ รถบรรทุกพุ่งใส่ฝูงชนริมหาดจนเสียชีวิตถึง 87 ราย บาดเจ็บกว่า 450 คน

เว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ส ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์นี้ว่า เป็นอีกครั้งที่ความเชื่อมั่นต่อความเข้มแข็งพื้นฐานถูกทำลาย ซึ่งประชาชนรู้สึกปลอดภัยขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนน หากเกิดอุบัติเหตุก็เกิดแบบสุ่มหรือไม่เจาะจง หลายคนก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกรถชน โดยมาร์ค เฮเทอริงตันและอลิซาเบธ ซูเฮย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ร่วมศึกษาวิจัยจนค้นพบว่า เมื่อคนที่มักเปิดกว้างและเชื่อใจคนนอกจนรู้สึกว่าพวกเขาเสี่ยงถูกโจมตีด้วยการก่อการร้าย พวกเขามีแนวโน้มสนับสนุนความรุนแรง นโยบายที่เป็นเผด็จการและยินดีที่จะสละเสรีภาพเพื่อแลกกับความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น

โดยการก่อการร้ายถูกออกแบบเพื่อดึงความสนใจของสาธารณชนและจุดความกลัวให้แพร่กระจาย พวกเขาบังคับสมาชิกในสังคมอย่างเราให้ต้องประมวลผลทางจิตใจเช่น หากมันเกิดขึ้นกับฉันหรือกับคนที่ฉันรัก มันมีทางไหนที่ฉันสามารถอยู่อย่างปลอดภัย แล้วจะเอาอะไรมาปกป้องฉัน?

นับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน หลายคนหลีกเลี่ยงการบิน อีกทั้งมาตราการอื่นที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงความสบายเมื่อนั่งทำงานในสถานที่ที่ไม่ตกเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่กับยานยนต์ต่างๆนั้นอยู่รอบตัวเรา ไม่มีกฎเกณฑ์หรือข้อจำกัด ระยะถอนตัวจากสายตาชีวิตประชาชนที่สั้นซึ่งทำให้มีการป้องกันการโจมตีแบบนี้อย่างเต็มที่ จนเรียกว่าความเสี่ยงที่จะถูกฆ่าด้วยการก่อการร้ายแบบนี้อยู่ในระดับน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ในสหรัฐฯปีละ 3-4หมื่นคน การใช้รถพุ่งชนจึงเป็นเพียงเศษเสี้ยวของทั้งหมด

แต่การคำนวณอย่างนั้นก็ไม่สามารถผลักความกลัวออกไปได้ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุจึงรู้สึกต่างกับความเป็นไปได้ที่ถูกสุ่มเป็นเป้าหมายเพื่อจงใจฆ่า

การโจมตีอย่างที่เกิดขึ้นในบาร์เซโลน่า ได้สร้างความรู้สึกว่าชีวิตชาวเมืองถูกแต้มด้วยอันตรายที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ อะไรก็ตามเมื่อเป็นอาวุธแล้ว มันได้บ่อนทำลายความหวังที่ว่าการโจมตีก่อการร้ายนั้นสามารถคาดเดาหรือควบคุมได้ มันไม่ต้องใช้ทักษะหรือทรัพยากรอะไรเป็นพิเศษที่จะไปเอารถซักคันแล้วขับใส่ฝูงชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งหมดอยู่ที่แรงจูงใจล้วนๆ ดังนั้นความกลัวซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์ จึงสามารถผลสะเทือนต่อสังคมและการเมืองได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ การก่อการร้ายด้วยการใช้ยานพาหนะพุ่งใส่นี้ นอกจากที่เมืองนีซและบาร์เซโลน่าแล้ว ตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ยังมีอีกหลายครั้งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ยุโรป และล่าสุดก่อนเกิดเหตุที่เมืองบาร์เซโลน่า คือที่เมืองชาร์ล็อตวิลล์ มลรัฐเวอร์วิเนียของสหรัฐฯเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ในช่วงการปะทะกันระหว่างกลุ่มขวาจัดเชิดชูผิวขาวกับกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดผิว ได้มีชายคนหนึ่งขับรถชนใส่ผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านการเหยียดผิว จนมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 19 คน