ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 ตุลาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เชิงบันไดทำเนียบ |
ผู้เขียน | ปรัชญา นงนุช |
เผยแพร่ |
การพูดถึง “3ป.” ยุคนี้ กว้างขวางกว่าที่ผ่านมา 10 กว่าปี นับจาก “แผงอำนาจ 3ป.” เข้าสู่สนามการเมือง ตั้งแต่ยุค รบ.อภิสิทธิ์ ที่ขณะนั้น “ป.ประวิตร” เป็น รมว.กลาโหม “ป.ป๊อก-อนุพงษ์” เป็น ผบ.ทบ. และ “ป.ประยุทธ์” อยู่ใน 5 เสือ ทบ. ถูกวางไว้เป็น ผบ.ทบ. จนครบแผง “3ป.” นั่นเอง มาถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 22พ.ค.57 ที่ “แผงอำนาจ 3ป.” ผงาดพร้อมกัน ผ่านการเป็น “แกนกลางอำนาจ” ในยุค คสช.
คำว่า “3ป.” ถูกพูดถึงอย่ามาก ช่วง 1 เดือนกว่าที่ผ่านมา ผลพวงจาก “ธรรมนัสเอฟเฟกต์” ที่เกิดภาพความไม่ลงรอยระหว่าง “พี่น้อง 3ป.” ด้วยกันเอง จนเกิดการแบ่งเป็น “ขั้ว 1ป.ประวิตร” กับ “ขั้ว 2ป.ประยุทธ์-ป๊อก” ตามแนวทางของ “3ป.” ที่เดินยุทธวิธี “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ภายใน พปชร. ที่แตกเป็นมุ้งต่างๆ แต่อยู่ภายใต้ “2ครัสเตอร์” ในเงา “3ป.” อีกชั้นหนึ่ง
ทว่าการ “สืบค้น” บุคคลที่เกี่ยวข้องกับ “ขบวนการล้มนายกฯ” ยังไม่สิ้นสุด ผ่าน “มือสายสืบ” ของ นายกฯ โดยมีการพาดพิงถึงชื่อ “พลตำรวจเอก” ที่มีชื่อย่อ “ป.” ขึ้นมา ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ขบวนการล้มนายกฯ” หรือไม่ เพราะ “พลตำรวจเอก ป.” คนดังกล่าว เป็น “น้องรัก” พล.อ.ประวิตร จึงทำให้เรื่องราวยิ่งบานปลาย แถมมีการไปโยงไปอีกขั้นว่าได้รับผลกระทบจากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ริบอำนาจ พล.อ.ประวิตร ในการคุม สตช. ด้วย อีกทั้งในอดีตมีความคุ้นเคยกับ “อดีตนายกฯแดนไกล” จึงยิ่งตกเป็นเป้านิ่งใน “ขบวนการล้มนายกฯ” ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธหรือโต้ข่าวผ่านสื่อ
แต่มีรายงานว่าขบวนการภายในได้มีการพูดคุยกันแล้ว ทำให้เรื่องของ “พลตำรวจเอก” ชื่อย่อ “ป.” คนดังกล่าว นิ่งลง และความสัมพันธ์ระหว่าง “3ป.” จะฟื้นขึ้นมา แต่ “ความระแวง” คนข้างหลังของแต่ละ “ป.” ก็ยากที่จะสลายไป จึงอย่าได้แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะส่งคนของตัวเองเข้าไป “สอดส่อง” ภายใน พปชร. อีกชั้นหนึ่ง ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัมภาษณ์ เมื่อครั้งเกิดเรื่องที่สภา เมื่อ 1ก.ย.ที่ผ่านมา ถึงคำว่า “หลงหูหลงตา” ดังนั้นการส่งคนของตัวเองเข้าไปใน พปชร. และมี “สายสืบ” ของตัวเอง ก็เพื่อป้องกันปัญหาตรงนี้ ซึ่ง “สายสืบ” คนนี้ อย่าได้ประมาทฝีมือ เพราะ “ต่อจิ๊กซอว์” ฉายภาพเห็นทะลุ จนแผน “ขบวนการล้มนายกฯ” พังทันที และทำให้ “บิ๊กตู่” พลิกเกมทั้งในและนอกสภาได้ทัน
ทั้งนี้หากเรื่องราวเหล่านี้เป็นจริง ก็เท่ากับว่าเป็น “ศึกสายเลือดเตรียมทหาร” ที่นับว่า “เล่นกันแรง” ถ้าย้อนอดีตจะเห็นว่า “ศึก” ระหว่าง “สายเลือดทหาร-ตำรวจ” ในการเมืองไทย นำมาสู่ “ความเปลี่ยนแปลงใหญ่” ทางการเมืองหลายครั้ง ถึงขั้นที่ว่า “ข้าอยู่ เอ็งไป” หรือถึงขั้น “ไปกันหมด” ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะสุดท้ายแล้ว “อำนาจ” เป็นของไม่เข้าใครออกใคร
นอกจากนี้ยังมีอีก “พลตำรวจเอก” ชื่อย่อ “ป.” ที่ถูกประโคมข่าว มาเป็น “ทายาทการเมือง 3ป.” เพราะเป็นอีก “น้องรัก” ของ พล.อ.ประวิตร ที่เข้าถึง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย ที่เตรียมปูทางสู่ “สนามการเมืองใหญ่” ในระยะยาว เพราะเจ้าตัวเองก็วางภาพตัวเองไปถึง “รัฐมนตรี” ด้วย เพราะทั้ง “ทุนหนา” และ “มากพรรคพวก” ในการทำงานการเมือ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “การเมืองไทย” ไม่ได้มีแค่ “3ป.” แต่มีถึง “5ป.” ที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้