ย้อน 9/11 : เปิดบันทึก20ปีก่อน ‘ผู้ช่วยทูตสหรัฐ’ ส่งหนังสือลับ ถึงผบ.ตร. จับตา3บุคคลบินเข้า กทม.

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวางแผงเมื่อ วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2544 ปีที่ 21 ฉบับที่ 1100

คอลัมน์ ต่างประเทศ (หน้า93) ได้นำเสนอรายงาน เปิดแฟ้มเครือข่ายขบวนก่อการร้าย “โอซามา บิน ลาเดน” ศัตรู”นัมเบอร์วัน”สหรัฐ

ขบวนการก่อการร้ายสากลเป็นอาชญากรรมที่คุกคามต่อประชาคมโลกโดยรวม และไม่มีประเทศใดจะหลุดพ้นจากการคุกคามจากภัยประเภทนี้ได้อย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เจริญแล้ว หรือประเทศที่กำลังพัฒนา!

เหตุการณ์จี้เครื่องบินสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ 3 ลำพุ่งเขาชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และอาคารเพนตากอน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์!

เป็นการก่อวินาศกรรมที่ทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ ทรัพย์สิน และผลกระทบที่จะตามมาอีกใหญ่หลวงนัก

นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ (ณ ตอนนั้น) ประกาศกร้าวว่า สงครามปี 2001 เกิดขึ้นแล้ว พร้อมระดมพลนับล้านคน อาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมถล่มผู้อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมครั้งนี้

โดยพุ่งเป้าไปที่ นายโอซามา บิน ลาเดน ศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกา ที่ถูกตั้งค่าหัวถึง 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกบดานอยู่ในอัฟกานิสถาน

นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังมีหนังสือประสานงานไปทั่วโลกกับพันธมิตรให้จับตากลุ่มและเครือข่ายขบวนการก่อการร้ายของ นายบิน ลาเดน และพวก

ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรกับสหรัฐ!

ช่วงเวลาดังกล่าวผู้ช่วยทูตและผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงทางการทูต ประจำสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ทำหนังสือลับที่สุด ถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ช่วยติดตามความเคลื่อนไหว 3 ผู้ต้องสงสัยชาวอาหรับประกอบด้วย นายอาเหม็ด ดาวิด โมฮัมเหม็ด อัลซีฮี นายแบ็กเคอร์ ดาวิด โมฮัมเหม็ด อัล ซีฮี ชาวโอมาน และ นายคอเล็ด อับดุล ลาห์ โมฮัมเหม็ด อัล ซีฮี ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ทั้งสามคนเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยสายการบินไทยเที่ยวบินทีจี 261 จากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เข้ากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้านั้นทั้ง 3 คนได้เข้าพักที่โรงแรมตรงข้ามสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศฟิลิปปินส์ และลักลอบถ่ายรูปสถานทูต เป็นเหตุให้ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นขบวนการร่วมวางแผนก่อเหตุวินาศกรรมด้วย

ซึ่ง พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยงานติดตามพฤติการณ์ของผู้ต้องสงสัยอย่างใกล้ชิด

โดยเฉพาะ ตำรวจสันติบาล ถึงกับพลิกแฟ้มกลุ่มขบวนการก่อการร้ายสากลขึ้นมาปัดฝุ่น เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย

โดยแยกกลุ่มก่อการร้ายตะวันออกกลางเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ดังนี้

กลุ่มฮามาส กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ กลุ่มอิสลามิก จิฮัด และชาวปาเลสไตน์ กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยปาเลสไตน์ กลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อการปลดปล่อยปาเลสไตน์

กลุ่มอาบู นิดาล กลุ่มกัมมา อัล-อิสลามิยา กลุ่มอัลจิฮัด กลุ่มพยัคฆ์แห่งอ่าวอาหรับ กลุ่มขบวนการอิสลามเพื่อการเปลี่ยนแปลง กลุ่มอันศาร์ อัลเลาะห์ กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ ซาอุดีอาระเบีย กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ กัลฟ์

กลุ่มขบวนการเพื่อการปฏิรูปอิสลามในซาอุดีอาระเบีย กลุ่มคณะกรรมการเพื่อคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย กลุ่มคัดและคาฮาเน ชาย กลุ่มมูจาฮีดีน เอ คลัด และกลุ่มนายโอซามา บิน ลาเดน

โดยกลุ่มที่น่าจับตามากที่สุดคือ “กลุ่มอิสลามนานาชาติ” ซึ่งมีความสนิทสนมกับกลุ่ม นายบิน ลาเดน อย่างใกล้ชิด

ในแฟ้มระบุว่าย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2523 สหภาพโซเวียตเรืองอำนาจ บุกยึดอัฟกานิสถานซึ่งเป็นดินแดนมุสลิม มีชาวมุสลิม-อาหรับจากทั่วโลกว่า 25,000 คนต่างทิ้งถิ่นฐาน เข้าช่วยรัฐบาลอัฟกานิสถานรบตีขนาบคอมมิวนิสต์โซเวียต

รัฐบาลสหรัฐให้ “ซีไอเอ” เป็นหัวหอกทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ส่งกำลังทหารตีขนาบอีกแรง จนขับไล่โซเวียตสำเร็จ

แต่เมื่อชนะสงคราม ผู้ใหญ่ในรัฐบาลอัฟกานิสถานกลับแย่งชิงอำนาจกันเอง แทนที่กลุ่มมุสลิม-อาหรับ หรือที่เรียกว่า “อาหรับอัฟกัน” จะสลายตัว

กลับแยกไปตั้งกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เช่น อามาส อิสลามิก จิฮัด อิสรามิกกรุ๊ป แนวร่วมกอบกู้อิสลาม และแนวร่วมปลดแอกโมโร นับวันยิ่งมีเครือข่ายสลับซับซ้อนขึ้นทุกวัน เพราะมีเงินอัดฉีดจากโลกมุสลิมอย่างมหาศาล

“อาหรับอัฟกัน” มีทั้งชาวอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย แอลจีเรีย เลบานอน ซีเรีย ลิเบีย และชาติอื่นๆ เริ่มหันเหจากการสู้รบกับโซเวียต มาจับมือกันจองล้างจองผลาญ “สหรัฐ-อิสราเอล” เนื่องจากเห็นว่าทั้งสองชาติเข้ามาครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวอาหรับและชาวมุสลิม

เรียกว่าเกลียดทั้งสองชาติจนเข้ากระดูกดำ!

กลุ่มผู้ก่อการร้ายมุสลิมเริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2541 มีการลงนามในกฎบัตรร่วมกันระหว่าง นายโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มอัล-ไกดา นายเอย์มาน อัล ซาวาห์รี ผู้นำกลุ่มจิฮัดในอียิปต์ นายรีไฟอาห์เหม็ด ทาฮา ผู้นำกลุ่มอิสลามมิกแห่งอียิปต์ รวมทั้งกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในปากีสถาน และบังกลาเทศ ภายใต้ชื่อกลุ่ม “แนวร่วมอิสลามิกโลกเพื่อสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านยิวและครูเสด”

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม “กองทัพอิสลามเพื่อปลดปล่อยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม” ที่ประกาศเป็นผู้วางระเบิดสถานทูตสหรัฐในเคนยาและแทนซาเนีย

และกลุ่มใหญ่ที่ซ้อนอยู่ในพันธมิตรคือ “กลุ่มจิฮัด” ที่สืบทอดมาจากกลุ่มที่ลอบสังหารประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต ในปี พ.ศ.2524 มีเป้าหมายล้มล้างรัฐบาลอียิปต์เพื่อก่อตั้งประเทศเป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์

“กลุ่มอิสลามิกแห่งอียิปต์” ก่อการร้ายทางภาคใต้ของอียิปต์มี นายทาฮา และ นายมุสตาฟา อัมซา เป็นผู้นำกลุ่ม ระยะหลังแตกเป็น 2 กลุ่ม แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการตั้งอียิปต์เป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์เช่นกัน

นายเอย์มาน อัล ซาวาห์รี เป็นเพื่อนกับ นายบิน ลาเดน ตั้งแต่สมัยสงครามอัฟกานิสถานขับไล่โซเวียต เป็นอดีตแพทย์

ปัจจุบัน (หมายถึง ก.ย.2544) อยู่ในอัฟกานิสถาน ถูก นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ อายัดทรัพย์สินเมื่อปี 2538 ส่วน นายรีไฟ อาห์เหม็ด ทาฮา ปัจจุบันอยู่ในอัฟกานิสถาน เคยติดคุกในข้อหาวางแผนฆ่า นายอันวาร์ ซาดัต

ขณะที่ นายมุสตาฟา ฮัมซา ผู้นำอีกคนหนึ่งของอิสลามิก ปัจจุบันอยู่ในซูดานและโซมาเลีย เคยติดคุกข้อหาวางแผนฆ่าซาดัตและเป็นผู้ต้องสงสัยว่าลอบสังหาร ฮอสนี มูบารัก แห่งอียิปต์

และ นายโมฮัมหมัด อัล อิสลามบูลี ผู้นำระดับสูงของกลุ่มอิสลามิก กรุ๊ป เป็นพี่ชายของผู้สังหารซาดัต  อยู่ที่อัฟกานิสถานในความคุ้มครองของ บิน ลาเดน จะเห็นว่ากลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์แนบแน่นกัน ประเทศไทยถึงแม้ไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรงกับกลุ่มก่อการร้าย

แต่ประเทศไทยในช่วงนั้นเป็นประเทศเปิด  และมีผลประโยชน์กับมิตรประเทศที่เป็นเป้าหมายของผู้ก่อการร้าย ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงไม่น้อยในช่วงเวลาดังกล่าว