วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ : โควิดไม่ค่อยติดกลางแจ้ง

บทนี้ขอเขียนเรื่องข้อเสนอเบา ๆ นะครับ อย่างเคยนะครับ ใครไม่เชื่อก็ไม่เอาไปใช้ อย่างไงเสียก็คุยกันเองสนุก ๆ ตามสะดวกครับ

ขอเริ่มต้น ว่าด้วยวานร (ape) หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ มีวิวัฒนาการเริ่มต้นอยู่ในเขตป่าเมื่อนับล้านปีที่แล้ว เมื่อมนุษย์วิวัฒนาการหลุดจากวานรไปแสนปี หลังจากค้นพบไฟก็ไปการปฏิวัติทางเกษตรทำให้เรามีชีวิตอยู่ในที่โล่งแจ้งมากขึ้น เพราะต้องใช้แสงแดดในการปลูกพืชที่เป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แต่ก็ยังคงต้องมีช่วงหนึ่งในแต่ละวันที่อยู่ในที่ร่มเพื่อลดการแผดเผาของแสงแดด และหาแหล่งหลบฝนและสัตว์ร้าย จึงสร้างเพิงแล้วพัฒนาไปเป็นบ้านเรือน และสร้างเมืองและอารยธรรมขึ้นในที่สุด

มีหลักฐานทางระบาดวิทยาว่า ชีวิตที่มีเวลาอยู่ในที่โล่งแจ้ง เป็นชีวิตที่มีสุขภาพทั้งกายและจิตดี และอายุยืนกว่าชีวิตที่อยู่ในที่ร่มโดยไม่ได้ออกกลางแจ้งเลย สัตว์ป่าทั้งหลายมีโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น มะเร็ง โรคไต น้อยกว่าสัตว์เลี้ยงตามบ้านมาก แมวเลี้ยงอยู่ในห้องอย่างเดียวไม่ได้ไปไหนเลย ในที่สุดก็ลืมสัญชาติญาณ ต้องวิ่งหนีหนูแทนที่จะวิ่งไล่จับ แสงแดดนอกจากจะให้วิตามินดีแล้ว ยังมีผลต่อสมองส่วนหน้าผ่านระบบประสาทตา ควบคุมการหลับตื่น ความรู้สึกสดชื่นหรือซึมเศร้า ความรู้สึกหิวอิ่มที่เหมาะสม มีผลต่อเชื้อจุลชีพ (microbiome) ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน งานเกษตรกรรมกลางแจ้งต้องใช้แรงงานกาย ส่งเสริมความแข็งแรงของระบบกล้ามเนื้อระบบสูบฉีดโลหิต และความคล่องตัวของระบบประสาท การได้ออกกำลังเสริมผลทางบวกของผลของแสงสว่าง อากาศในที่โล่งมีเชื้อโรคน้อยกว่าในที่ร่มเนื่องจากการถ่ายเทดีกว่า และยังมีรังสียูวีฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ

แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความเจริญของมนุษย์มาจากการมีปฏิสัมพันธ์ถ่ายทอดความคิด ข้อมูล ความรู้ การจัดระบบต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลา และต้องทำในที่ร่มเป็นหลัก บ้านเรือนนอกจากจะเป็นที่หลบภัย หลบแดด หลบฝนและความหนาวเหน็บแล้วยังให้ความสุขในครอบครัว ความมั่นคง จากบ้านกลายเป็นเมือง เป็นประเทศและอาณาจักร ผู้คุมความรู้ คุมอำนาจ บารมี และคุมทรัพยากร ต้องใช้เวลาในที่ร่ม แรงงานเกษตรกรรมนกลางแจ้งจึงเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในที่ร่ม

การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้แรงงานทั้งหลายเข้าไปอยู่ในที่ร่มมากขึ้น ความเจริญก้าวหน้าทำให้ประชากรเพิ่มขึ้น และอยู่กันแออัดมากขึ้น เมืองมีโรงงาน มีสลัมมีความยากจน การพักผ่อนน้อย แสงไฟฟ้าทำให้คนใช้ชีวิตในตอนกลางคืนมากขึ้น ทั้งเพื่อความบันเทิงและเพื่อการแข่งขัน ทั้งกลางวันกลางคืน ระบบประสาทควบคุมการหลับตื่นถูกบิดเบือนไป

เครื่องปรับอากาศช่วยให้อุณหภูมิแวดล้อมให้ห้องอยู่ในระดับสบาย แต่ด้วยพื้นที่จำกัดมนุษย์ก็ต้องแชร์ลมหายใจเดียวกัน สัมผัสข้าวของต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมร่วมกัน และชีวิตที่อ่อนแอกว่าของคนในที่ร่ม เวลามีเชื้อโควิด การระบาดจึงเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว

 

ผมเชื่อว่าโควิดไม่ค่อยติดกลางแจ้ง เพราะกลางแจ้งโดยเฉพาะกลางวันในประเทศไทยมีแดดเผา ถ้าไม่ได้สัมผัสกันด้วยเหตุผลพิเศษ ผู้คนจะอยู่ห่างกันตามธรรมชาติ ซึ่งทั้งยูวีและความร้อนจะทำลายความสามารถของเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญกว่านั้น คือ การถ่ายเทของอากาศ จะช่วยให้ละอองโควิดถูกเจือจางอย่างรวดเร็ว

ในตัวอาคารทั่ว ๆ ไปซึ่งมีระบบปรับอากาศ มาตรฐานทางวิศวกรรมศาสตร์กำหนดว่าจะต้องมีอากาศจากภายนอกไหลเข้าออกอย่างต่ำ 8 ลิตรต่อวินาทีต่อคนที่อยู่ในห้อง 1 คน ระดับที่การระบายอากาศต่ำกว่านี้ ผู้คนจะรู้สึกไม่สบาย จะได้กลิ่นตัวของคนอื่น ตัวเลขมาตรฐานนี้จะเพิ่มขึ้นถ้ามีเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่ม เช่น เป็นห้องประชุมหรือโรงงานจะต้องการการระบายอากาศมากกว่านี้ ผมเดาว่าในห้องต่าง ๆ ที่มีการแพร่เชื้อโควิด เช่น ตามผับ บาร์ บ่อนไพ่ อัตราการถ่ายเทอากาศน่าจะต่ำกว่านี้ ยิ่งมีผู้แพร่เชื้ออยู่ในห้องด้วยและนั่งใกล้ชิดกันเป็นเวลานาน เช่น เล่นไพ่ เล่นเกมส์ กินอาหารร่วมกัน การถ่ายทอดลมหายใจโดยไม่รู้ตัวย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการสัมผัสสิ่งอื่น ๆ ร่วมกันอีก เช่น ขาไพ่จับไพ่สำรับเดียวกัน ใช้ภาชนะร่วมกัน กินอาหารถ้วยเดียวกัน ยากที่จะรอด

สมัยโควิดระบาดใหม่ ๆ มีนักวิทยาศาสตร์บางคนขี้เล่น บอกว่าการทดสอบว่าอยู่ห่างกันเพียงพอหรือไม่ให้ใช้ fart test คือ ทดสอบโดยการผายลม ถ้าอีกฝ่ายยังได้กลิ่นแสดงว่ายังใกล้กันเกินไป ผมคิดต่อว่าผล fart test นอกจากจะเสียมารยาทแล้ว ยังอาจจะไม่แม่นยำ ขึ้นอยู่ว่าผู้ผายลมไปกินอาหารประเทศใดมา และมีแบคทีเรียกลุ่มใดในลำไส้ใหญ่ในขณะนั้น ที่สำคัญ คือ ระยะทางของ fart test ที่จะให้ผลบวก (คือได้กลิ่นซึ่งถือว่าเป็นระยะทางที่ไม่ปลอดภัย) จะห่างมากในห้องแคบ ๆ ที่อากาศไม่ดี แต่ ในบริเวณกลางแจ้งที่ลมแรงตามธรรมชาติพอ ระยะใกล้ ๆ ก็ให้ผลลบได้

ดังนั้น เวลาได้กลิ่นผายลมที่ไม่ใช่ของท่านเองก็พึงระวังนะครับ ท่านอาจจะอยู่ในรัศมีการแพร่กระจายโควิดจากเขาก็ได้

 

ข้อมูลการสอบสวนโรคของเราตลอดปีกว่า ๆ มีน้อยมากที่ผู้ป่วยรับเชื้อร่วมกันจากกิจกรรมกลางแจ้ง สนามมวยในกรุงเทพที่เป็นจุดระเบิดระลอกแรกก็เป็นสนามมวยปรับอากาศ กลุ่มพวกสามนิ้วเดินขบวนกันหลายยกเมื่อปีกลาย อยู่บนถนนกับลานกว้างก็ไม่ปรากฏว่ามีการติดโรคจากการเดินขบวน การจัดมวยในสนามกลางแจ้งที่อำเภอจะนะจังหวัดสงขลาซึ่งผมก็คอยเตือนอยู่ มีผู้ติดเชื้อโควิดจากจังหวัดอื่นเข้ามาชม ร่วมกับผู้ชมอื่น ๆ อีกหลายร้อยเป็นเวลานับชั่วโมง

ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้รับเชื้อไปเลยสักคน นอกจากนี้ไม่เห็นมีรายงานว่าสนามชนโค หรือ บ่อนไก่ หรือ พวกไปปิคนิกชายทะเล หรือ นั่งกินส้มตำตามร้านที่ปูเสื่ออยู่บนสนามเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ผมไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมพวกนี้ในช่วงนี้ แต่สรุปแล้วที่ติดเชื้อในเมืองไทยนับหมื่น ดูเหมือนจะไม่พบว่าติดมาจากกิจกรรมกลางแจ้งเลย หรือ จะมีก็คงน้อย

ถ้ากิจกรรมกลางแจ้งไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงมาก การที่เราไปออกกฎต่าง ๆ ระงับกิจกรรมเหล่านี้อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาพเศรษฐกิจ

ตลาดที่แพร่เชื้อหลายแห่ง ก็ไม่ใช่ตลาดกลางแจ้ง แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดบางจังหวัดก็ไปห้ามการจัดตลาดนัด และห้ามเปิดท้ายของ ซึ่งเป็นผลเสียทางเศรษฐกิจกับพ่อค้าแม่ขายรายย่อย ถ้าผมเป็นที่ปรึกษาผมจะลองเสนอให้ซื้อขายกันตลาดนัดและตลาดเปิดท้ายดู แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามไปซื้อขายกันในตัวอาคาร การอยู่ใต้ต้นไม้น่าจะโอเค แต่การกางเต้นท์ขนาดใหญ่ก็ถือเสมือนหนึ่งเป็นตลาดธรรมดาซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานตลาด ห้ามตั้งโต๊ะรับประทานอาหารเพราะจะทำให้คนสัมผัสใกล้ชิดกันนานเกินไป ซื้อแล้วรีบไปน่าจะโอเค

แต่เดิมเทศกิจเรามีหน้าที่จับหาบเร่แผงลอยเพราะทำให้การจลาจลทางเท้าติดขัด ยามนี้สังคมขัดสน น่าจะผ่อนผันด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ ไม่งั้นเราต้องซื้อจากร้านสะดวกซื้อเท่านั้น ชาวบ้านจะทำหากินได้อย่างไร เทศกิจเปลี่ยนหน้าที่จากการจับหาบเร่แผงลอยไปเป็นควบคุมตลาดแบบนี้ให้มีมาตรฐานในเรื่องระยะห่าง เวลาฝนตกก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะครับ

ทีนี้มาคุยกันเรื่องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ การปิดยิมในช่วงระบาดหนักมีเหตุผลเพราะอยู่ในตัวอาคารร่วมกันเป็นเวลานาน แต่จังหวัดทุกจังหวัดประกาศไม่ให้ใช้พื้นที่โล่งอย่างเช่นสนามกีฬา อันนี้ผมก็ว่าควรจะทบทวนให้ดี เราทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายโดยเฉพาะในบริเวณกลางแจ้งมีผลดี แต่การออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น วิ่ง ทำให้ต้องหายใจแรงและถี่ เนื่องจากต้องใช้ออกซิเจนมาก ถ้าสวมหน้ากากคงอยู่ได้ไม่นาน นักวิ่งประจำจึงต้องถอดหน้ากากวิ่งกันทั้งนั้น ถ้าวิ่งเป็นกลุ่มก็มีโอกาสถ่ายทอดเชื้อได้

ดังนั้นจึงควรวิ่งคนเดียวห่างจากคนอื่น ๆ ยิ่งมากยิ่งดี ผมคิดว่า ทางการควรหารือกับคุณหมอประจำ ศบค. จังหวัดต่าง ๆ ว่าจะผ่อนผันสำหรับการออกกำลังกายอย่างไร ทั้งสำหรับนักกีฬาและสำหรับคนที่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ที่สำคัญหลังออกกำลังกายอย่าไปสังสรรกันต่อก็แล้วกัน

 

การออกกำลังกายที่ดีอย่างหนึ่งที่โดนระงับทั่วโลก คือ การว่ายน้ำ ความจริงเชื้อโควิดโดนน้ำในสระว่ายน้ำนิดเดียวก็ตายหมดเนื่องจากพิษคลอรีน การว่ายน้ำต้องเว้นระยะห่างอยู่แล้วตามธรรมชาติไม่เหมือนการวิ่ง แต่ที่เขาปิดสระว่ายน้ำนั้นเพราะเขากลัวว่าเชื้อจะแพร่ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำ เราก็ให้คนใช้สระน้ำล้างตัวและผลัดผ้าแบบคนไทยสิครับ หรือคนไทยสมัยนี้ไม่รู้วิธีผลัดผ้าถุงแลผ้าขม้ากันแล้ว

ส่วนเรื่องการติดเชื้อในห้องน้ำของสระว่ายน้ำโอกาสก็ไม่ต่างกับการติดเชื้อจากห้องน้ำของศูนย์การค้าหรอกครับ เผลออาจจะต่ำกว่า ถ้าเราจัดสถานที่ให้ล้างตัวและผลัดผ้าในบริเวณกลางแจ้งโดยไม่ประเจิดประเจ้อ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยยังไม่ค่อยนิยมว่ายน้ำ สระว่ายน้ำก็มีน้อย เรื่องนี้จึงไม่ค่อยสำคัญ

สุดท้าย กลับมาหาระบบขนส่งผู้ป่วยครับ ปัจจุบันทางสาธารณสุขจะจัดรถไปรับผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อที่บ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ระหว่างเดินทาง แต่การจัดรถก็มีภาระมากในด้านของความปลอดภัยจากโควิดของพนักงานขับรถและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ที่สำคัญที่กลัวกัน คือ การปนเปื้อนของเชื้อโควิดบนรถ รถพยาบาลที่เราซื้อหรือได้รับบริจาคสมัยก่อนโควิดไม่ได้แยกระบบปรับอากาศส่วนของผู้ป่วย/ญาติ กับส่วนของ พขร. และ เจ้าหน้าที่ รถแบบนี้น่าจะใช้ไม่ได้ การดัดแปลงรถพยาบาลให้เหมาะกับการขนส่งผู้ติดเชื้อจำนวนมากก็เสียค่าใช้จ่ายเยอะ

 

ผมเคยไปประเทศมาลาวีทวีปแอฟริกาซึ่งถือว่าจนที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง เขาใช้รถซาเล้งเป็นรถพยาบาล ดูแล้วไม่โก้แต่เหมาะสม เพราะชาวมาลาวีน้อยคนนักที่จะมีรถยนต์หรือแม้กระทั่งรถมอเตอร์ไซด์ การมีจักรยานก็ถือได้ว่ารวยระดับหนึ่งแล้ว รถซาเล้งจึงเป็นอะไรที่พิเศษมาก สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง รถซาเล้งก็มีบทบาทไม่น้อย เพราะสามารถขนเอายุทโธปกรณ์ขนาดกลางเช่น ปืนกล และอาหารเวชภัณฑ์ไปได้ไม่แพ้รถยนต์

รถซาเล้งปลอดภัยจากโควิด แต่ไปวิ่งในกรุงเทพ ฯ ไม่รู้จะผิดกฎหมายฉบับไหนบ้าง นอกจากนี้ยังไม่กันแดดกันฝน ผมว่ารถสองแถวขนาดเล็กที่วิ่งกันตามหัวเมืองและปากซอยในกรุงเทพน่าจะเป็นทางเลือกที่พอรับได้ เราใช้รถสองแถวไปรับผู้ติดเชื้อจากบ้านส่งโรงพยาบาลสนามไม่น่าจะไม่เหมาะสมตรงไหน ตอนเย็นก็ใช้น้ำสบู่ฉีดล้างซะหน่อย เช้า ๆ ตากแดดเดี๋ยวเดียวเชื้อก็ตายหมดแล้ว

อีกไม่ช้าเห็นเค้าว่าจะมีอีวีคาร์ คือ รถใช้แต่แบตเตอรี่ ไม่ใช้น้ำมัน อีวีคาร์ที่ยึดถือรูปทรงแบบรถปัจจุบันส่วนใหญ่ก็คงไม่แก้ปัญหาการติดเชื้อโควิด แต่อีวีช่วยเปลี่ยนเงือนไขการถ่ายเทอากาศบนรถได้ ถ้าทั้งเมืองใช้อีวีคาร์แล้ว ความร้อนและฝุ่นควันจากการสันดาปของเครื่องยนต์ก็ลดลงอย่างมาก

ถึงแม้โควิดยังคุกคามอยู่อากาศไม่ร้อนมากก็อาจจะไม่จำเป็นต้องปิดหน้าต่างรถยนต์ โดยเฉพาะรถประจำทางก็ไม่ค่อยจำเป็นต้องมีระบบปรับอากาศ คนรวยหน่อยก็มีอีวีคาร์เปิดประทุนให้มันเริดไปเลย สำหรับคนจนก็ขอให้บีโอไอช่วยส่งเสริมการผลิตและพัฒนาอีวีซาเล้ง และอีวีสองแถวด้วยนะครับ