ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 กันยายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
การชุมนุมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ เกิดขึ้นในหลายที่ หลายกลุ่มและหลายความต้องการ ในจำนวนคนหนุ่ม-สาวที่ก้าวออกมาลงถนน ยังมีวัยรุ่นกระโปรงบาน ขาสั้น หรือนักเรียนมัธยมร่วมแสดงออกและเรียกร้องไปพร้อมกันด้วย โดยเฉพาะปรากฏการณ์ชู 3 นิ้วระหว่างเคารพธงชาติและผูกโบขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาแสดงออกกลับทำให้ต้องเผชิญการคุกคามจากครูในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการแทรกแซงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ความมั่นคงในพื้นที่โรงเรียน ทำให้สังคมของนักเรียนที่ควรได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่กลับไม่ปลอดภัย
จึงเป็นเหตุให้ข้อเรียกร้องหยุดคุกคามนักเรียน ไปสอดคล้องกับแนวทางของกลุ่มประชาชนปลดแอกคือ หยุดคุกคามประชาชน เป็นเส้นทางที่ไปด้วยกัน ที่จะประกาศกับสังคมและผู้มีอำนาจว่า สิทธิเสรีภาพการแสดงออกเป็นสิ่งที่ทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ หลักสิทธิมนุษยชนสากล
รัฐต้องอย่าใช้อำนาจเกินเหตุไปคุกคาม ปิดปากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และข้อเรียกร้องจากสิ่งที่ตัวเองเผชิญอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทน
สุพิชฌาย์ ชัยลอม หรือเมนู นักเรียนหญิง ม.ปลายจากโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้แจ้งเกิดกับการปราศรัยที่ศาลาอ่างแก้วเมื่อ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ประกาศก้องว่ารัฐบาลกำลังขโมยความฝันของเธอไป
เมนูได้เผยช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในการเรียนคือ ตอน ม.5 ถือว่าเครียดที่สุด นั่นเป็นเพราะเริ่มรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และการศึกษาไม่ได้ตอบโจทย์ ตัวเองจึงแทบไม่เข้าเรียนเลย ทำให้เกรดเรียนตกฮวบ แล้วพอ ม.6 ต้องใช้เกรดเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย เลยต้องกลับมาตั้งใจในเทอมนี้
เมนูยังเผยความรู้สึกตอนตัดสินใจขึ้นเวทีในการชุมนุมที่ศาลาอ่างแก้ว มช.ด้วยว่า เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างรวดเร็ว พอดีเห็นม็อบเลยอยากไป ในนั้นมีปราศรัยด้วย เลยใช้เวลาไม่ถึงนาทีตัดสินใจขึ้นเวที
หลังจากเวทีวันนั้นก็พบกับหลายคนซึ่งมีประสบการณ์คล้ายกันกับเรา ก็ออกมาสนับสนุน และการขึ้นเวทีล่าสุดที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ก็เป็นเพราะแนวทางของเรากับของทางกลุ่มนักเรียนต่างๆ มีทิศทางเดียวกัน
เมื่อถามว่าเรื่องแรกที่ให้ทำก่อนสำหรับการแก้ไขปัญหาการศึกษาคือ ยกเลิกกฎระเบียบก่อน เพราะเป็นเรื่องง่ายที่สุดที่กระทรวงศึกษาธิการทำได้ เมื่อทำได้ก็ค่อยไต่ระดับขึ้นไป
เมนูยังฝากทิ้งท้ายด้วยว่า เหตุผลของหลายคนที่ได้ถามคือไม่กล้าจะออกมาส่งเสียงของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้ตัวเองได้ออกมาเป็นตัวอย่าง บอกให้ทุกคนรู้ว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่เป็นอันตราย ขอให้ออกมาใช้เสียงของตัวเองให้คุ้มค่า
เพราะเราทุกคนคือคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปและอยากให้ประเทศนี้ดีขึ้น
ด้าน “เอ็ม” นักเรียนหนุ่ม ม.ปลายย่านปากคลองตลาด ได้เผยช่วงที่รู้สึกแย่ที่สุดในโรงเรียนคือ โดนกล้อนผม ซึ่งเกิดขึ้นตอนเรียน ม.3 ตอนนั้นตัวเองลืมและไม่มีเวลา แต่ครูตรวจทรงผมก็พูดว่าจะอ้างแบบนี้ไม่ได้ เป็นกฎของโรงเรียนที่ต้องทำตาม แล้วครูพูดด้วยว่ากฎระเบียบนี้ ดีต่อตัวผมเอง
การศึกษาไทยสำหรับเอ็มนับตั้งแต่เรียนจนมาถึงมัธยมปลายอาจไม่ตอบโจทย์เพื่อการใช้ชีวิตวันข้างหน้า โดยกล่าวว่า ยังขาดอะไรอีกมาก สิ่งสำคัญนอกจากตัวนักเรียน ก็เรื่องหลักสูตร ต้องไปกันทั้งคู่ ถ้าระบบดีขึ้น นักเรียนก็อยากเรียน
การออกมาร่วมชุมนุมครั้งนี้ สำหรับเอ็มก็หวังว่า แม้การศึกษาจะไม่ได้ในรุ่นของเขา แต่อย่างน้อยรุ่นต่อจากพวกเขาจะต้องดีขึ้น เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะเลวร้ายกว่านี้ และจะไม่ใช่แค่การชุมนุมครั้งนี้ แต่ทุกคนจะแสดงออกมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ นักเรียนชาย ม.ปลายอีกคนจากโรงเรียนดังย่านปากคลองตลาด เปิดเผยว่า ตัวเองอาจโชคดีที่โรงเรียนให้ความช่วยเหลือดี จึงไม่เคยเผชิญประสบการณ์แย่ๆ เหมือนกับคนอื่น แต่ที่ตัวเองต้องออกมาร่วมชุมนุมคือ ปัญหาของกระทรวงศึกษาธิการ
นักเรียนชายคนนี้กล่าวว่า กระทรวงศึกษาฯ มีปัญหาเต็มไปหมด ทั้งไม่สามารถจัดการกับครูที่ละเมิดสิทธิเด็กได้ มีกฎที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน
เมื่อถามว่า ถ้ามีโอกาสเข้าร่วมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา สิ่งแรกที่อยากทำคือ รัฐมนตรีศึกษาธิการต้องถูกเลือกจากนักเรียน ไม่ใช่มาจากคนที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน
ทั้งนี้ แนวทางการศึกษาที่ควรจะเป็นของนักเรียนชายคนนี้คือ การศึกษาที่ “นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” ครูทุกคนต้องเข้าข้างนักเรียน อาจทำระบบการศึกษาตามแบบฟินแลนด์ ซึ่งไทยสามารถปรับได้ ยกตัวอย่างชุดนักเรียน ต้องเป็นสิ่งที่โรงเรียนให้กับพ่อ-แม่ ผู้ปกครองได้ ไม่ต้องเป็นภาระที่พ่อ-แม่ต้องออกไปซื้อ ซึ่งตัวหนึ่ง 500-600 บาท ชุด รด.ราคาเป็นพัน
หรืออย่างตัดผม 100 บาทสำหรับบางคนอาจแพงไป