ไซเบอร์ วอชเมน : เทคโนโลยีเปลี่ยนสำนึกคิด

การออกมาของคนหนุ่มสาวจำนวนมากในการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภายใต้ชื่อ #ขีดเส้นตายไล่เผด็จการ เมื่อ 16 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ได้ถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยร่วมสมัยแล้ว

สิ่งที่ทำให้คนสวมเสื้อดำออกมารวมตัวกันนั่ง ยืน แสดงออกในหลากหลายวิธีและเนื้อหา จนแน่นถนนราชดำเนินกลางร่วมกว่า 2 หมื่นคน ไม่เพียงเรื่องความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งที่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือเหนือกว่าใครในประวัติศาสตร์ แต่ยังทำให้คนเอือมระอาและทนไม่ไหวแล้วเท่านั้น

โลกออนไลน์และเครื่องมือสื่อสารยุคดิจิตอล คือพื้นที่เสรีภาพที่หลากความคิดหลั่งไหลเข้าถึงทุกคน และเชื่อมต่อทุกความคิดให้กับคนที่ต้องการการเยียวยาจิตใจ เข้าหาคนกลุ่มใหม่ รวมถึงแสวงหาทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

เทคโนโลยีได้พาให้ทุกคนก้าวสู่โอกาสที่หลายคนต่างปรามาสหรือเย้ยหยันว่าไม่มีทางจะเกิดขึ้น ได้ปรากฏเป็นตัวเป็นตน

เปลี่ยนถนนที่ขึ้นชื่อว่าจราจรคับคั่งที่สุด ให้กลายเป็นที่ที่พาทุกคนมารวมกันเป็นเอกภาพท่ามกลางปัจเจกและกลุ่มก้อนต่างๆ ที่มีความเป็นเอกเทศ

 

ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ อย่างการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา จนมาถึงการรวมตัวประท้วงในมหาวิทยาลัย โรงเรียนและสถานที่สำคัญตามจังหวัดต่างๆ จนเกิดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ล้วนไม่ได้เกิดขึ้นแบบโดดๆ จนมีการโยงอย่างเข้าใจหรือเชื่อมั่นอย่างผิดๆ ว่ามีเบื้องหลังสนับสนุนการเคลื่อนไหว แต่เป็นการสั่งสมเพื่อรอวันปะทุขึ้นมา

หากมองดูไลฟ์สไตล์ของคนเจเนอเรชั่นวายหรือแซด รวมถึงอัลฟ่า (มนุษย์ที่เกิดหลังยุคมิลเลนเนียม) เทคโนโลยีการสื่อสารอย่างอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพวกเขาแล้ว

เมื่อใดที่มีประเด็นปัญหาไม่ว่าน้อยใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ที่ใดในโลก เราได้รับรู้และแสดงความคิดเห็น ยิ่งผู้ใช้รู้ภาษาอื่นนอกจากภาษาประจำชาติที่สื่อสารและแปลออกสู่ผู้คนอีกจำนวนมาก หรือแม้แต่ถ่ายทอดทัศนะตัวเองกลับไปต้นทางด้วยภาษาสากลที่ทั่วโลกใช้พูดเขียนกัน ก็เห็นความเป็นพลวัตอย่างเข้มข้นขึ้น

โลกออนไลน์ให้เราเห็นเรื่องราวทั้งกว้างใหญ่ไพศาลกว่าขอบเขตที่ตัวเองรู้ หรือลึกเกินกว่าจนเราไม่อยากเชื่อ เหนือกว่าที่มีในหนังสือเรียนตามการศึกษาภาคบังคับ ในคำสอนของครู หรือคำพูดของผู้อาวุโสหรือผู้มีอำนาจที่บอกให้เราร่วมมือและเชื่อฟังจะให้ได้

ทำให้เรา “หูตากว้างไกล” ไปจนถึง “ตาสว่าง”!

 

แล้วโลกออนไลน์เป็นพื้นที่ของการแสดงออก 2 ทางแบบหลายคน เราจะเห็นการแลกเปลี่ยนประเด็นที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริง ดูอย่างทวิตเตอร์ก็ได้ เราจะเห็นแฮชแท็กที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ชีวิตประจำวัน จนถึงการเมืองทั้งในและต่างประเทศ หลายอย่างที่ผ่านตาเรา เช่น #MilkTeaAlliance #โตแล้วเลือกเองได้ #มันคือแป้ง #Saveวันเฉลิม #โรงเรียนหน้าเขาไม่เอาเผด็จการ #ยกเลิก112 #HongKongProtest จนถึง #blacklivesmatter หรือ #BlackPink

ถือเป็นตัวบ่งชี้ว่า เทคโนโลยีการสื่อสารดิจิตอลยุคนี้ ได้เชื่อมเข้าหากัน สร้างเรื่องราวร่วมกัน และร่วมแสดงพลังกับเรื่องเดียวกัน ทั้งที่อยู่กันคนละมุมโลก

อย่างไรก็ตาม ระบบการเมืองแบบเผด็จการอำนาจนิยมที่ไม่นิยมหรือชื่นชอบกับความเห็นต่างหรือการถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายทิศทาง ย่องมองการสื่อสารดิจิตอลเชิงลบแบบมีอคติทันที และทำทุกอย่างเพื่อสามารถควบคุมได้ โดยไม่สนว่าต้องทำด้วยวิธีใด อย่างเช่นที่จีนสร้าง The Great FireWall ออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติกับฮ่องกง หรือที่ไทยมีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ซึ่งหน่วยงานนี้ก็ปล่อยข่าวปลอมออกมาเสียเอง) สื่อสารกับผู้คนในสังคมเพื่อป้องปรามไม่ให้ขยายตัวโดยสร้างความเป็นตัวแทนอันชั่วร้ายกับบุคคลโดยว่า ถูกล้างสมอง ถูกหลอก ถูกจ้างมา และป้ายสีใส่ร้ายกับใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับรัฐ รวมถึงคุกคามกดดันผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเพื่อควบคุมความคิดของผู้คน

ไม่ให้นำไปสู่การเปิดโปงความล้มเหลว ความไร้ประสิทธิภาพ ความฉ้อฉลจากสิ่งที่ตัวเองก่อกับประชาชน

 

หากทว่า เมื่อใดที่คนรู้แจ้ง เป็นอิสระจากการถูกมอมเมา ก็ไม่มีทางกลับไปจุดนั้นอีก และตัดสินใจข้ามแม่น้ำรูบิคอน ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่ากลัวจะถูกคุกคามหรือถูกลงโทษจากสังคม แต่พวกเขาเลือก เพราะสังคมและผู้มีอำนาจได้ปิดบังเรื่องที่ควรรู้ไว้ ว่ากำลังปล้นโอกาส ปล้นชีวิตและปล้นอิสรภาพของพวกเขา สิ่งนี้เลวร้ายเกินกว่าจะอดทนจำยอมได้แล้ว

เราจึงได้เห็นความเห็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยกล้าพูดดังๆ ออกมา อย่างมากเป็นแค่เสียงกระซิบกระซาบหรือเรื่องซุบซิบนินทา แต่โลกออนไลน์กลับแสดงความคิดเห็นตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม จนมาถึงจุดหนึ่งว่า โลกแห่งชีวิตจริงเลิกทำตัวกลับกลอก หลอกคนอื่นและตัวเองได้แล้ว

นั้นจึงนำไปสู่เหตุการณ์มากมาย รวมถึงข้อเสนอ 10 เรื่องของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมประกาศออกสู่สาธารณชนครั้งแรกในรอบทศวรรษ เขย่าสังคมไทยแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนว่า ได้มีสำนึกคิดอีกชุดที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ต่อให้ใช้อำนาจอะไรมาคุกคามเพื่อหยุดยั้ง ก็เหมือนกับเอากำแพงคอนกรีตมาต้านสึนามิที่กำลังโถมเข้าใส่

ยิ่งมาขู่ว่าอาจได้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ธรรมศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 เกิดขึ้นอีกครั้ง ก็กลับกลายเป็นว่า คนไปขุดลึกแบบที่ไม่เคยสอนที่ไหนและข้อมูลลับสุดยอดก็มาเปิดเผยในจังหวะพอดีอีกด้วย

สังคมไทยกำลังอยู่กลางทางแยกว่าจะเลือกเดินทางไหน

ไม่ว่าจะเลือกอะไร สำนึกคิดได้เปลี่ยนไปชนิดไม่หวนกลับได้อีกแล้ว