ต่างประเทศ : ศึกสองด้าน ของผู้แปรพักตร์เกาหลีเหนือ

เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งดั้นด้นหลบหนีระบอบปกครองที่กดขี่และความอดอยากยากแค้นในถิ่นเกิดของตนเอง ได้ใช้ดินแดนเกาหลีใต้ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังใหม่ของพวกเขา เป็นที่กำบังภัยในการทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อโจมตีคณะผู้ปกครองเกาหลีเหนือ

แต่การก้าวขึ้นมาบริหารประเทศของมุน แช อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ซึ่งเคยเป็นทนายความที่ทำคดีเกี่ยวกับมนุษยชนและสิทธิพลเมืองมาก่อน อาจทำให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือในการทำกิจกรรมต่อต้านคณะผู้ปกครองเกาหลีเหนือ กระทำได้ไม่ถนัดนัก

เนื่องจากแนวนโยบายในการทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดีมุน แช อินนั้นมุ่งหมายที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเกาหลีเหนือ

จนทำให้เกิดการพบปะสุดยอดผู้นำสองเกาหลีครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างนายมุน แช อิน กับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือขึ้นมาได้ในช่วงต้นปี 2561

แม้ว่าขณะนี้ผลลัพธ์ในความพยายามเดินหน้าสานสัมพันธ์อันดีของผู้นำเกาหลีใต้นั้นดูจะยังไม่ประสบผลคืบหน้าสักเท่าไรนัก

 

โดยเฉพาะในห้วงเวลานี้ บรรยากาศยิ่งกลับเขม็งเกลียวตึงเครียดมากขึ้น หลังจากคิม โย จอง น้องสาวคลานตามกันมาของคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการคนที่ 1 กรมการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคกรรมกรเกาหลี ออกมาขู่ที่จะใช้มาตรการตอบโต้เกาหลีใต้ โทษฐานที่ปล่อยให้ผู้แปรพักตร์เกาหลีเหนือเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลเปียงยางด้วยการส่งบอลลูนนำใบปลิวที่มีเนื้อหาก่นด่าดูหมิ่นเหยียดหยามผู้นำเกาหลีเหนือเข้ามาโปรยปรายแจกจ่ายถึงในฟากฝั่งของเกาหลีเหนือ

จนนำมาสู่การที่เกาหลีเหนือระเบิดทำลายอาคารสำนักงานประสานงานร่วมสองเกาหลี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความปรองดองระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ สร้างขึ้นในเขตนิคมอุตสาหกรรมแกซอง ฝั่งเกาหลีเหนือ มีมูลค่าราว 456 ล้านบาท เมื่อราวสองปีก่อนทิ้งไป

เป็นการแสดงให้เห็นว่าเกาหลีเหนือเอาจริง ไม่ใช่ดีแต่พูด!

ในขณะที่หลังจากน้องสาวผู้นำเกาหลีเหนือเริ่มขยับท่าทีเอาจริง หลังออกมาประณามท้วงติงเกาหลีใต้อย่างดุเดือดไปแล้ว ฝ่ายเกาหลีใต้ก็ได้ออกมาห้ามปรามกลุ่มผู้แปรพักตร์เกาหลีเหนือ ไม่ให้แจกจ่ายใบปลิว โดยถึงขั้นขู่จะใช้กฎหมายเข้าจัดการ

จากรายงานข่าวระบุว่า หนึ่งในใบปลิวที่สร้างความเดือดดาลให้กับฝ่ายเกาหลีเหนือ เป็นใบปลิวที่กลุ่มผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือนำใส่บอลลูนไปโปรยตามแนวชายแดนสองเกาหลีเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นภาพอนาจารที่นำภาพของนางรี ซอล จู ภรรยาของผู้นำคิม จอง อึน ไปตัดต่อ โดยสื่อความหมายเชิงว่าสตรีหมายเลขหนึ่งของเกาหลีเหนือ ต้องการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายโน มู ฮยอน อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้

ซึ่งอเล็กซานเดอร์ แมตเซโกรา เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงเปียงยางชี้ว่านี่เป็นใบปลิวที่ทำให้ผู้ปกครองเกาหลีเหนือโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

และนำมาสู่การระเบิดทิ้งสำนักงานประสานงานร่วมสองเกาหลีในวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา

 

พัค ซัง ฮัค หัวหน้าและผู้ก่อตั้งองค์กรนักรบเพื่อปลดปล่อยเกาหลีเหนือ (Fighters for Free North Korea) ซึ่งเป็นขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือในเกาหลีใต้ ถูกโยงเข้ากับปมใบปลิวร้อนดังกล่าว ได้ออกมาฟ้องสื่อต่างชาติในกรุงโซลเมื่อต้นสัปดาห์นี้อย่างกราดเกรี้ยวว่า เขากำลังถูกรัฐบาลมุน แช อิน กดดันอย่างหนักให้หยุดส่งบอลลูนนำใบปลิวต่อต้านคณะผู้ปกครองเกาหลีเหนือไปโปรยปรายบริเวณพรมแดนสองเกาหลี

การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลเกาหลีใต้ถือเป็นการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพในการพูดของเขา

ทั้งยังโจมตีรัฐบาลเกาหลีใต้ว่าเป็นเผด็จการฝ่ายซ้าย และเขายังมีแผนที่จะยื่นฟ้องประธานาธิบดีมุน แช อิน ในศาลระหว่างประเทศอีกด้วย

พัค ซัง ฮัค ที่หลบหนีออกจากเกาหลีเหนือมายังเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2543 ยืนกรานปฏิเสธด้วยว่าใบปลิวภาพอนาจารดังกล่าวไม่ใช่ผลงานของกลุ่มตนเอง แต่เป็นของกลุ่มเคลื่อนไหวอีกกลุ่มหนึ่งและเป็นใบปลิวที่ส่งไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ใบปลิวที่กลุ่มตนนำไปโปรยแจกจ่ายตามชายแดนเกาหลีทั้งในวันที่ 30 เมษายน, วันที่ 31 มีนาคม และวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมาแต่อย่างใด

โดยใบปลิวของกลุ่มพัค ซัง ฮัคนั้นมีใบปลิวโจมตี “ปีศาจ” ที่ลอบวางยาสังหารคิม จอง นัม พี่ชายต่างแม่ของผู้นำคิม จอง อึน ที่สนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียในปี 2560 ซึ่งโจษจันกันว่าการตายของนายคิม จอง นัมนั้นมีน้องชายต่างแม่ ซึ่งก็คือนายคิม จอง อึน อยู่เบื้องหลังนั่นเอง

ผู้แปรพักตร์เกาหลีเหนือผู้นี้ยังบอกเล่าด้วยว่า เขาถูกกดดันจากทางการเกาหลีใต้ในหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการถูกเพิกถอนใบอนุญาตดำเนินงานขององค์กรตนเอง การถูกดำเนินคดีในข้อหาขนส่งก๊าซไฮโดรเจนอันตรายที่เขาใช้ในการอัดส่งลูกบอลลูนไปโปรยใบปลิว และยังถูกห้ามไม่ให้ใช้ก๊าซไฮโดรเจน จนทำให้เขาต้องหันมาใช้ก๊าซฮีเลียมแทน ซึ่งมีราคาแพงกว่าถึง 14 เท่า ตลอดจนถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

อย่างไรก็ตาม พัค ซัง ฮัค บอกว่า ในเรื่องเลวร้ายที่เขาเผชิญอยู่ ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่บ้าง เพราะทำให้เห็นเงินบริจาคสมทบองค์กรของเขามีเพิ่มขึ้นมาจากเดิมถึง 3 เท่า นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวขององค์กรของเขายังมีอยู่อีกมาก

เจ้าตัวบอกอีกว่า แม้จะเผชิญความกดดันจากผู้ปกครองสองเกาหลีมากเท่าใด แต่เขาจะไม่หยุดการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อโจมตีเกาหลีเหนือต่อไป จนกว่าคิม จอง อึน จะหยุดใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นเครื่องมือข่มขู่ผู้อื่น