สถานการณ์โควิด-19 ในไทยที่ดีขึ้น หากเทียบกับ 1 เดือนที่ผ่านมา ก่อนใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-มาตรการเคอร์ฟิว เมื่อภัยจากไวรัสนิ่ง การเมืองเริ่มขยับมากขึ้น โดยเฉพาะฟากฝั่งฝ่ายค้านที่ถึงเวลา ‘เช็คบิลย้อนหลัง’ รัฐบาลแล้ว เพราะความเดือดร้อนจากมาตรการ ‘ล็อคดาวน์’ เริ่มส่งผลกระทบในวงกว้าง แม้จะมีมาตรการเยียวยาแต่กลับเดินช้ากว่า จุดนี้เองจึงทำให้พรรคฝ่ายค้านนำมาใช้เป็นจุดตีรัฐบาล พร้อมกันนี้ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านยังเสนอให้รัฐบาลเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อมาถกเถียงการแก้ปัญหาโควิด-19 แม้ว่าการออก พ.ร.ก. รวม 3 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่จะนำมาใช้เยียวยาประชาชนจะเป็นอำนาจของรัฐบาล แต่จะต้องรายงานต่อสภาเมื่อเปิดประชุม ซึ่งพรรคฝ่ายค้านต้องการให้นำมาเข้าสภาเพื่อเสนอแนะและฟังความคิดเห็น

ส่วน ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ก็รับบทนิ่งไม่ตอบโต้ฝ่ายค้าน อีกทั้งยังคง ‘Single Voice’ ในการสื่อสาร หลังพลาดไปครั้งก่อนในการอธิบายที่มาเงินเยียวยา 5,000 บาท จนถูกตีความว่ารัฐบาลถังแตก มีจ่ายแค่ 1 เดือน หรือกรณีทำจดหมายถึง 20 มหาเศรษฐีหรือเจ้าสัว แม้จะมีการเตรียมบทพูดมาก่อน แต่ก็ถูกตีความไปว่าจะไป ‘ขอเงิน’ จาก 20 บุคคลที่ส่งจดหมายไป ทำให้ต้องออกมาแก้ข่าวกันของรัฐบาลทั้ง 2 ครั้ง ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ ‘บิ๊กตู่’ จึงเลือกที่จะนิ่งมากกว่าตอบโต้
.
อีกสิ่งที่พรรคฝ่ายค้านเสนอคือการยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และยกเลิกมาตรการ ‘ล็อคดาวน์’ เพื่อคลายล็อคให้กับประชาชน ทั้งนี้ ‘สุทิน คลังแสง’ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน มองว่า ไม่เห็นด้วยกับต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว เพราะจะกระทบกับประชาชนด้านเศรษฐกิจ พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า รัฐบาลยังอยากจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไว้ เพราะห้ามไม่ให้สภามีการจัดประชุมหรือขยายเวลา เพื่อรีบใช้งบประมาณที่มีอยู่หรือไม่

ซึ่งก่อนหน้านี้ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เคยออกมาระบุว่าการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของ ‘บิ๊กตู่’ เปรียบเป็น ‘รัฐประหารโควิด’ เพราะเป็นการรวมศูนย์อำนาจในการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามหากดูจากการ ‘บริหารอำนาจ’ ของ พล.อ.ประยุทธ์ กับรัฐมนตรีโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล ทั้ง ‘เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล’รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ‘อู๊ดด้า-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์’รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ก็จะพบว่ามี ‘บทบาทลดลง’ ด้วยเพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ให้อำนาจนายกฯโดยตรง ในการสั่งการ ‘ปลัดกระทรวง’ ในฐานะเบอร์ 1 ของข้าราชการประจำของกระทรวงนั่นเอง แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยืนยันว่าไม่ได้ ‘ลดทอนอำนาจรัฐมนตรี’ ก็ตาม แต่งานนี้ ‘บิ๊กตู่’ กลายเป็น ‘พระเอก’ ไปเต็มๆ ซึ่งส่งผลดีต่อพรรคพลังประชารัฐไปด้วย ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ‘ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย’ ต้องทำแต้มนอกสนามแทน เช่น ‘จุรินทร์’ เร่งดันโครงการ ‘พาณิชย์ลดราคา’ ช่วยประชาชน ส่วน ‘เสี่ยหนู’ ก็ขออยู่เงียบๆ เพราะช่วงหลังมานี้ พูดอะไรก็ ‘เข้าตัว’ ตลอด จึงงดที่จะพูดหรือเป็นข่าว โดยใช้เวลานี้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบุคลากรทางการแพทย์และ อสม. แทน

อย่างไรก็ตามภายหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘แฟลชม็อบ’ ที่กระจายไปในหลายมหาวิทยาลัยและเป็นกระแสที่รัฐบาลไม่อาจนิ่งนอนใจได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือไวรัสโควิด-19 ทำให้ ‘แฟลชม็อบ’ ถูกสลายไปโดยปริยาย ไม่ใช่เพียงฝ่ายค้านที่จองกฐินรัฐบาล แต่พลังอดีตแฟลชม็อบกำลังจะกลับมาอีกครั้ง หลังเพจสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย – Student Union of Thailand ได้โพสต์เชิญช่วยนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วประเทศ ร่วมแคมเปญ “โควิดหายมาไล่รัฐบาลกันไหม?” ร่วมประท้วงออนไลน์ โดยการถ่ายรูปถือป้ายแสดงความรู้สึกต่อรัฐบาลพร้อมติด #MobFromHome เมื่อคืน 24เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งกระแสจุดติดในโลกทวีตเตอร์ หลังขึ้นเทรนด์ทวีตเตอร์ประเทศไทย จึงต้องจับตาว่า ‘กระแส’ จะอยู่ยาวหรือแค่ชั่ววูบ
.
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ‘บิ๊กตู่’ เตรียมเจอ ‘กฐินหลายซอง’ แน่นอน ทั้งจากฝ่ายค้านและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่มีอยู่เดิม แต่ที่รัฐบาลต้องเจอและประมาทไม่ได้คือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากพิษโควิด-19 รวมทั้งมาตรการ ‘ล็อคดาวน์’ ของรัฐบาล ที่มีจำนวนมาก และส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอน หาก ‘บิ๊กตู่’ สามารถเคลียร์ปัญหาเรื่องการเยียวยาได้ครอบคลุมมากที่สุดเท่าใด เสถียรภาพของรัฐบาลก็ยิ่งมากเท่านั้น อีกทั้งเป็น ‘แต้มต่อ’ ในอนาคตด้วย

โดยโจทย์ใหญ่ต่อไปคือพิษเศรษฐกิจที่ประเมินกันแล้วว่าจะส่งผลอย่างน้อย 2-3 ปีเลยทีเดียว เมื่อ ‘สุขภาพนำเสรีภาพ’ ย่อมมีต้นทุนที่ต้องจ่าย และรัฐบาลต้องชั่งน้ำหนักให้ดี โดยการประชุม ครม. วันที่ 28 เม.ย.นี้ ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญในการออกมาตรการ ‘ผ่อนคลาย-ปลดล็อค’ เพื่อให้ประชาชนได้หายใจทั่วท้องมากขึ้น และลดแรงเสียดทานจากสังคม
.
แม่ทัพตู่กรำศึกนี้อีกยาว !