ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
ระหว่าง 5-12 มีนาคม 2560
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ ปตท. และ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.
นำผู้บริหารในเครือแทบครบทีม อาทิ นายอติคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยออยล์
นายสุกฤตย์ สุรบทโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด
นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด
นายเติมชัย บุนนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด
พร้อมด้วยสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางไปศึกษาดูงานการปฏิรูปพลังงานในประเทศ “เม็กซิโก”
คำถามคือทำไมต้อง เม็กซิโก
ต้องไม่ลืมว่าในห้วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2560 ของชาวเม็กซิโก
หรือ 2 เดือนเศษก่อนหน้านี้
ข่าวคราวที่แพร่กระจายไปทั่วโลก มิใช่ความสนุกสนาน
หากแต่เป็นการประท้วงจากความไม่พอใจในราคาน้ำมันที่ถูกปรับขึ้น 20.1% ช่วงปีใหม่
การประท้วงและปล้นสะดม ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ร้านค้าในหลายรัฐถูกปล้นสะดม และประชาชนชาวเม็กซิกันนับพันถูกจับกุม
แต่ประธานาธิบดีเม็กซิโก เอ็นริเก เปญา นิเอโต แถลงยืนยันที่จะเดินหน้ายกเลิกการควบคุมราคาเชื้อเพลิง ปล่อยลอยตัวตามกลไกตลาดโลกต่อไป
ผู้นำเม็กซิโก เปญา นิเอโต ประกาศว่า “ผมรู้ว่าการต้องปล่อยให้ราคาน้ำมันถูกปรับขึ้นไปตามราคาตลาดโลกเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบาก แต่ในฐานะประธานาธิบดีเม็กซิโก หน้าที่ผมคือการต้องตัดสินใจปัญหาที่ยากในเวลานี้ เพื่อหลีกเลี่ยงต่อความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
อะไรคือความเลวร้ายนั้น
แน่นอน นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทีมผู้บริหาร ปตท. เดินทางมาเม็กซิโก เพื่อถอดบทเรียน “ความเลวร้าย” นั้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า เม็กซิโกเคยเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก
แต่ชาวเม็กซิโกในอดีต เห็นว่าบริษัทต่างชาติเข้ามากอบโกยทรัพยากรมากเกินไป รวมทั้งเอาเปรียบแรงงานมาก มรรคผลไม่ได้ตกแก่ประเทศอย่างคุ้มค่า
จึงเกิดการรวมตัวต่อสู้ในเรื่องน้ำมัน
ที่สุดรัฐบาลเม็กซิโกได้ประกาศยึดกิจการปิโตรเลียมต่างๆ มาเป็นของรัฐ
และผูกขาดกิจกรรมต่อเนื่องทุกอย่างมาตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ปี 2481 ถึงวันนี้ก็ 79 ปีพอดี
โดยให้อยู่ภายใต้การบริหารของบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (Pemex)
การดำเนินการและการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในช่วงแรกๆ ก็เติบโตไปด้วยดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การผลิตน้ำมันกลับเริ่มลดลงถึงขนาดทำให้เม็กซิโกต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปหลายอย่างเข้ามาใช้
เพราะโรงกลั่นมีไม่พอ หรือที่มีก็ไม่มีประสิทธิภาพในการกลั่นเพราะขาดการลงทุนและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ
การพลิกผันดังกล่าวทำให้คนเม็กซิโกเริ่มมีคำถามต่อการผูกขาดน้ำมันของรัฐ
เริ่มเกิดความคิดที่จะต้องปฏิรูปการผลิตน้ำมันที่มีการผูกขาดลงเสียที
ประกอบกับ Pemex ตกเป็นข่าวทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย โดยแทบไม่มีใครถูกเอาผิดเลย
รายได้ภาษีและเงินปันผลที่ Pemex ส่งรัฐเป็นสัดส่วนสูงถึง 30% ของรายรับรัฐบาลกลาง
ดังนั้น การรั่วไหลใน Pemex จึงมีผลต่อความสามารถของรัฐในการให้สวัสดิการประชาชน และการใช้งบประมาณด้านอื่นๆ ด้วย
ผู้นำทางการเมืองจึงไม่มีทางเลือก ต้องเริ่มเดินหน้าปฏิรูปพลังงาน
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากพรรคฝ่ายค้านฟากซ้าย รวมถึงประชาชนที่คุ้นชินกับน้ำมันราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม พรรครัฐบาลได้ร่วมกันลงสัตยาบันปฏิรูปพลังงาน
โดยร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศจนสำเร็จในวันที่ 6 สิงหาคม 2557
ท่ามกลางการอภิปรายอย่างยาวนานและดุเดือด
ประธานาธิบดีเม็กซิโกระบุว่า “วันนี้เป็นย่างก้าวอันยิ่งใหญ่ไปสู่อนาคตของชาวเม็กซิกัน” พร้อมกับบอกว่าการปฏิรูปจะพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันของเม็กซิโก และทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
พร้อมทั้งเรียกร้องว่าถึงเวลาแล้วที่ชาวเม็กซิกันควรจ่ายตามราคาจริง เนื่องจากการอุดหนุนที่รัฐบาลทำมานานจะไม่ยั่งยืนอีกต่อไป โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ค่าเงินเปโซกำลังดิ่งเหว
ตอนนี้การปฏิรูปพลังงานในเม็กซิโกกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า แม้ว่าจะมีการประท้วง มีการจลาจล
แต่ดูเหมือนเม็กซิโกไม่อาจยืนอยู่ในจุดเดิมได้อีกแล้ว
ผู้บริหาร ปตท. นำโดย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด และ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้เข้าไปเรียนรู้การไม่อาจอยู่ในจุดเดิมของเม็กซิโก
โดยเข้าพบคณะกรรมการกำกับกิจการไฮโดรคาร์บอน หรือ CNH ของเม็กซิโก ที่มีบทบาทเทียบเท่ากรมเชื้อเพลิงธรรมชาติของไทย
ได้หารือกับรัฐมนตรีช่วยพลังงานของเม็กซิโก
รวมทั้งได้พบกับพีเม็กซ์ (PEMEX) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเม็กซิโก
จากนั้นได้ร่วมกันถอดบทเรียนความล้มเหลวบรรษัทพลังงานแห่งชาติ (NOC) ของประเทศเม็กซิโก จากที่เคยยึดกิจการพลังงานต่างชาติมาเป็นของรัฐแล้วดำเนินธุรกิจพลังงานแบบผูกขาด เมื่อ 80 ปีที่แล้ว จนต้องปฏิรูปกลับสู่การค้าเสรีเพื่อให้เกิดการแข่งขัน และดึงดูดการลงทุนและเทคโนโลยีจากภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศ ว่า
การที่รัฐบาลยึดกิจการปิโตรเลียมทั้งหมดไว้ และให้ Pemex เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเม็กซิโก แห่งเดียวคุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ธุรกิจของ PEMEX นั้นขาดประสิทธิภาพ ไม่เกิดการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และขาดเงินลงทุน
การสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมสามารถทำได้อย่างเดียวคือการจ้างผลิต (service contract ) เพราะกฎหมายไม่เปิดช่องให้มีการร่วมทุนกับต่างชาติ
ทำให้ PEMEX เป็นผู้ลงทุนและรับความเสี่ยงเองทั้งหมด
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ปริมาณสำรองปิโตรเลียมลดลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีการสำรวจแหล่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในทะเลลึก ผลผลิตปิโตรเลียมลดลง
จนต้องนำเข้าน้ำมันเข้ามาใช้บริโภคภายในประเทศ (ทั้งๆ ที่มีทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ดินจำนวนมหาศาล แต่ไม่มีศักยภาพพอในแง่เงินลงทุนและเทคโนโลยีที่จะขุดขึ้นมาใช้)
ปัญหาวิกฤตดังกล่าว ทำให้รัฐบาลเม็กซิโกต้องเร่งการปฏิรูปพลังงานในปี 2556 โดยมีการแก้ไขข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ มีใจความสำคัญ คือ
1. รัฐยังคงเป็นเจ้าของทรัพยากรใต้ดินทั้งหมด เช่นเดียวกับประเทศไทย
2. เปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนในการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมได้ แทนที่จะมีเฉพาะ PEMEX แต่เพียงผู้เดียว โดย CNH สามารถเลือกใช้รูปแบบสัญญาการสำรวจได้ 3 รูปแบบ คือ License (ซึ่งคือระบบสัมปทานในไทย) Production sharing contract, Profit sharing เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้นักลงทุนต่างชาติ
3. จัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลด้านปิโตรเลียมและไฟฟ้า และยุติบทบาทการผูกขาดของ PEMEX เปิดให้มีการแข่งขันเสรี กล่าวคือ PEMEX มีลักษณะคล้ายกับ ปตท. ในปัจจุบันมากขึ้น
4. เปิดให้มีการแข่งขันในกิจการขายก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า ซึ่งในส่วนนี้ เม็กซิโกมีการดำเนินการที่ก้าวหน้าไปมากกว่าประเทศไทย
ทั้งนี้ นายเทวินทร์สรุปว่า บทเรียนจากความล้มเหลวของนโยบาย Nationalization ที่ทำให้วันนี้เม็กซิโกต้องเปลี่ยนจากการผูกขาดโดยบรรษัทพลังงานแห่งชาติ (NOC) ไปสู่ Competition & Transparency เพื่อดึงดูดการลงทุนและเทคโนโลยีจากภาคเอกชน ทั้งในและนอกประเทศ
เพราะมีปริมาณสำรองและการผลิตลดลงจนประเทศที่เคยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ ต้องกลายเป็นผู้นำเข้าปิโตรเลียม
ในขณะที่ PEMEX ขาดเทคโนโลยีและเงินทุน ไม่สามารถสำรวจและพัฒนาศักยภาพที่มี โดยมีการเชิญชวนให้บริษัทน้ำมันรายใหญ่ เช่น เอ็กซอน เชลล์ บีพี เข้ามาลงทุนในด้านต่างๆ ทั้งสำรวจพื้นที่น้ำลึก ลงทุนโรงกลั่น เปิดปั๊มน้ำมัน
ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับราคาน้ำมันขึ้นไปตามกลไกตลาดและเรียกเก็บภาษีน้ำมันเพื่อนำรายได้จากภาษีมาพัฒนาประเทศ เนื่องจากไม่สามารถที่จะคงนโยบายอุ้มราคาน้ำมันในประเทศต่อไปได้
“นี่เป็นทิศทางพลังงานของประเทศเม็กซิโก สอดคล้องกับหลายประเทศที่เคยมีแนวทางยึดกิจการพลังงานมาเป็นของรัฐ ซึ่งวันนี้พิสูจน์แล้วว่าสร้างปัญหาในระยะยาว ต่างจากประเทศที่ส่งเสริมการค้าเสรีภายใต้การกำกับที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมของภาครัฐ ซึ่งส่งเสริมภาคเอกชนให้เข้มแข็ง และสามารถพัฒนาศักยภาพของประเทศได้เต็มที่”
สอดคล้องกับนายปิยสวัสดิ์ ที่ระบุว่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมามีการปฏิรูปพลังงานในเม็กซิโกอย่างรวดเร็ว
โดยเป็นไปในทิศทางคล้ายกับประเทศไทยในปัจจุบัน หลังจากที่นโยบายเดิมทำให้กิจการพลังงานเสื่อมโทรมลงมาด้วยตลอด 80 ปีที่ผ่านมา
“แต่ที่น่าสลดใจก็คือมีกลุ่มบุคคลในประเทศไทยที่ต้องการปฏิรูปพลังงานไทยเพื่อให้ย้อนยุคไปเหมือนเม็กซิโกเมื่อ 80 ปีที่แล้ว” นายปิยสวัสดิ์ระบุ
การย้อนยุคที่นายปิยสวัสดิ์ว่า คงหมายถึงกลุ่มบุคคลที่พยายามเคลื่อนไหวผลักดันให้จัดตั้ง “บรรษัทปิโตรเลียมแห่งชาติ” ในไทยนั่นเอง