จิตต์สุภา ฉิน : ข่าวไวรัส เสพเท่าไหร่ก็ไม่พอ

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

เชื่อว่าช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่คนจำนวนมากติดโซเชียลมีเดียมากเป็นพิเศษ ด้วยความที่จะต้องคอยอัพเดตข่าวสารเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งความเคลื่อนไหวในและนอกประเทศ ไหนจะบรรดาสาระน่ารู้ต่างๆ ที่เพจบนเฟซบุ๊กทยอยโพสต์ให้อ่านอีกไม่หวาดไม่ไหว จนตอนนี้กว่า 80% ของหน้าฟีดก็ถูกครอบครองไปด้วยไวรัสหมดแล้ว

ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เสพข่าวตั้งแต่เช้ายันค่ำ ตื่นมาอันดับแรก สิ่งที่ต้องทำด้วยใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ก็คือเช็กข่าวว่า 7-8 ชั่วโมงที่เรานอนหลับไป มีหายนภัยอะไรเกิดขึ้นบนมุมไหนของโลกบ้างหรือเปล่า

วันๆ หนึ่งคว้ามือถือขึ้นมาดูตั้งไม่รู้กี่ครั้ง

กว่าจะได้วางก็นู่นแหละ ตอนดึกๆ ก่อนเข้านอน

 

ในแวดวงเทคโนโลยีมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจให้ติดตามหลายเรื่อง อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นนโยบายของแต่ละบริษัทว่ารับมือกับสถานการณ์ที่แสนจะตึงเครียดครั้งนี้อย่างไรบ้าง

เคสที่ชอบและต้องติดตามกันเป็นรายวันก็อย่างเช่น Apple ที่นอกจากจะสนับสนุนให้พนักงานทำงานอยู่บ้านและเข้าออฟฟิศให้น้อยที่สุด ก็ยังออกมาตรการสำหรับพนักงานที่ทำงานอยู่ที่ร้านขายปลีก Apple Store ทั่วโลก

Apple เริ่มจากการปิด Apple Store ทุกสาขาในประเทศจีนในช่วงที่จีนถูกไวรัสจู่โจมอย่างหนัก และเมื่อไวรัสคืบคลานไปประเทศอื่น Apple ก็ออกนโยบายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงานและลูกค้าที่เข้ามาซื้อของในร้าน อย่างเช่น บอกพนักงานว่าไม่สนับสนุนให้ลูกค้าลองอุปกรณ์ใดๆ ก็ตามที่ต้องสวมใส่เข้ากับร่างกาย อย่างเช่นหูฟัง AirPods หรือนาฬิกา Apple Watch

ลดจำนวนเก้าอี้ภายในร้านเพื่อไม่ให้คนอยู่ใกล้กันเกินไป จำกัดจำนวนคนที่เข้ามาข้างใน และเพิ่มระยะห่างระหว่างบุคคลในระหว่างรอรับบริการที่ Genius Bar

นอกจากนี้ก็ยังอนุญาตให้พนักงานที่มีอาการเข้าข่ายการติดเชื้อไวรัสสามารถหยุดงานได้ไม่จำกัดจำนวนวันและไม่คิดรวมกับโควต้าการหยุดประจำปีด้วย

แต่นโยบายทั้งหมดนี้ก็ดูไร้ความสำคัญไปทันที เพราะหลังจากนั้นแค่ไม่กี่วัน Apple ก็ตัดสินใจไม่เสี่ยงกับอะไรทั้งสิ้น สั่งปิดร้าน Apple Store ทุกสาขาทั่วโลก แทบจะพร้อมๆ กับที่ร้านค้าในจีนที่ปิดไปก่อนหน้านี้กลับมาเปิดได้อีกครั้ง เพราะสถานการณ์ในจีนตอนนี้ทุเลาลงเยอะมาก และผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว

ดังนั้น ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ Apple Store ในจีนเท่านั้นที่ยังเปิดทำการอยู่ ส่วนสาขาอื่นๆ ทั่วโลก Apple ไม่นำชีวิตของพนักงานและลูกค้าไปเสี่ยง และบริษัทก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของการปิดร้านในเมืองจีนแล้วว่าทำแบบนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ดีที่สุด

 

ข้ามมาดูอุตสาหกรรมโรงแรมที่น่าจะถูกพิษไวรัสเล่นงานอ่วมอยู่เหมือนกัน

ค่ายใหญ่อย่าง Wynn Resorts ที่ทำธุรกิจโรงแรมและกาสิโนในลาสเวกัสก็หันมาพึ่งเทคโนโลยีในการรับมือ

อย่างการติดตั้งกล้องตรวจวัดอุณหภูมิไว้ตามประตูทางเข้าเพื่อวัดไข้ทั้งแขกและพนักงานที่เดินเข้ามา

การออกกฎให้พนักงานเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลที่นั่งเล่นพนันอยู่ตามโต๊ะหรือตามเครื่องเล่น และต้องเพิ่มระยะห่างระหว่างโต๊ะอาหารด้วย

แต่ในที่สุดก็ลงเอยแบบเดียวกับ Apple เพราะก็เพิ่งจะจับมือ MGM Resorts International ซึ่งเป็นเครือขนาดใหญ่ยักษ์ที่ทำทั้งกาสิโนและโรงแรมเหมือนกัน ในการสั่งปิดการให้บริการทั้งหมดไปแบบไม่มีกำหนด

ดูจากแนวคิดของทั้ง Apple และค่ายโรงแรม-กาสิโนแล้วก็พอจะเห็นได้ว่าวิธีที่จะลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อได้ดีที่สุดก็คือหยุดโอเปอเรชั่นทั้งหมดที่จะทำให้คนจำนวนมากต้องมาอยู่ด้วยกัน แต่คนที่จะสามารถทำแบบนี้ได้ก็จะต้องทั้งมีนโยบายที่แข็งแกร่ง และมีเงินทุนที่แข็งแกร่งที่สามารถต้านรับการหยุดทำธุรกิจหลักชั่วคราวได้ด้วย

ซึ่งในกรณีธุรกิจโรงแรมอันที่จริงก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล เพราะลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการก็ต้องลดลงฮวบฮาบจนแทบจะไม่เหลือรายได้อยู่แล้ว

 

นอกจากนิสัยของการเสพข่าวจนจมูกแทบจะติดหน้าจอ อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนคือ ตอนนี้ย้อนกลับไปนึกภาพสมัยก่อนไม่ออกแล้วว่าทำไมเวลาเราออกนอกบ้านเราจึงไม่ค่อยระมัดระวัง กดปุ่มลิฟต์แล้วก็มาถูจมูก จับหน้าจับตา หรือทำไมเราถึงล้างมือนอกบ้านกันน้อยขนาดนั้น

เพราะตอนนี้นิสัยใหม่ของเราก็คือการล้างมือแทบจะทุกๆ 10 นาที ไม่ว่าจะด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือน้ำสบู่ ไปจนถึงการใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อตามผิวสัมผัสต่างๆ

ซึ่งการที่เราต้องทำที่ว่ามาบ่อยขนาดนี้ก็เพราะตาเราไม่สามารถมองเห็นเชื้อไวรัสที่เกาะอยู่ตามที่ต่างๆ ได้ จึงต้องปลอดภัยไว้ก่อนและคิดไว้เสมอว่ามันอาจจะอยู่บนมือของเราแล้ว

จีนเจอปัญหานี้มาก่อนเรานิดหน่อย แต่กระบวนการเรียนรู้ของพวกเขาก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว

เจ้าหน้าที่ของจีนมองหาวิธีใหม่ๆ ที่จะฆ่าเชื้อไวรัสที่อยู่บนพื้นผิวให้ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อย่างเช่น บนรถเมล์ที่คนจำนวนมากต้องใช้ในการคมนาคมทุกวัน จากเดิมที่จะคอยให้พนักงานฉีดพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อและเช็ดไปตามพื้นผิวทั่วรถ ซึ่งปัญหาของการทำแบบนี้ก็คือการเช็ดได้ไม่ทั่วทุกซอกมุม จะมีมุมที่ไม่ถูกทำความสะอาดฆ่าเชื้อเลย

ตอนนี้บริษัทขนส่งมวลชนในหยางเกาของจีนก็เลยหันมาลองวิธีใหม่ ใช้การฉายแสงอัลตราไวโอเล็ตหรือยูวีให้ครอบคลุมทั่วทั้งคันไปเลยดีกว่า

วิธีการก็คือ คนขับรถเมล์ขับรถเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ที่ติดตั้งท่อยูวีเอาไว้ 210 ท่อ แล้วก็เดินออกจากห้อง จากนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่เปิดระบบเพื่อใช้ยูวีสาดส่องไปอาบรถทั้งคันให้ถ้วนทั่ว เตรียมไว้ให้ 2 ห้อง ฆ่าเชื้อบนรถเมล์ได้ 250 คันต่อวัน

วิธีนี้ทำให้ช่วยลดจำนวนพนักงานและเวลาในการทำความสะอาดลงได้ ซึ่งพวกเขาก็ระมัดระวังกันมากที่จะไม่ให้ UV สัมผัสกับผิวหนัง เพราะนี่ไม่ใช่วิธีฆ่าเชื้อสำหรับคน แต่เป็นการใช้สำหรับสิ่งของเท่านั้น

หยางเกาไม่ใช่ที่เดียวในจีนที่ใช้ยูวีมาฆ่าเชื้อ เพราะธนาคารในประเทศก็ใช้แสงยูวีฆ่าเชื้อที่อยู่ตามธนบัตรด้วยเหมือนกัน ในขณะที่มีหน่วยงานบางแห่งที่กำลังร่างข้อเสนอทำระบบลิฟต์ UV อัจฉริยะ เพื่อฆ่าเชื้อภายในลิฟต์โดยสารแบบที่จะไม่มีพลาดแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และจะทำความสะอาดก็ต่อเมื่อไม่มีคนอยู่ในลิฟต์เท่านั้น

เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาของไวรัสระบาดครั้งนี้ไปได้ หลายๆ อย่างของชีวิตเราน่าจะเปลี่ยนไป เราน่าจะให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดมากขึ้น และสาธารณูปโภคที่แวดล้อมเราในชีวิตประจำวันก็จะต้องถูกปรับคอนเซ็ปต์ใหม่เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างคนให้ดีขึ้น และมีความสามารถในการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

เราจะผ่านมันไปด้วยกันค่ะ