จักรกฤษณ์ สิริริน : อวัยวะงอกใหม่ “หน้ากากอนามัย” บทเรียนจาก 12 Monkeys และ The Book of Eli

พลันที่ “องค์การอนามัยโลก” ได้ประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” ที่เกี่ยวเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ก็เป็นอันว่า ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนนับจากนี้ คงหาพื้นที่สงบสุขบนโลกได้ยากขึ้น

เพราะความกังวลขั้นสูงสุดของ “องค์การอนามัยโลก” ก็คือ หากไวรัสชนิดดังกล่าวระบาดไปในประเทศที่ระบบป้องกันด้านสาธารณสุขไม่ดีพอ จะส่งผลให้โลกของเรายากต่อการรับมือนั่นเองครับ

หากเราย้อนไปดูการประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” ของ “องค์การอนามัยโลก” ในอดีต

ถ้ายังจำกันได้ ก็มีการระบาดของเชื้อโรคอันตรายหลายตัวด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “อีโบลา” “ซิก้า” หรือ “ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1”

ยังไม่นับ “ซาร์ส” “เมอร์ส” “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” และ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1”

กล่าวสำหรับประเทศไทย แน่นอนว่า ตลอดเดือนกุมภาพันธ์นี้และอาจจะอีกหลายเดือนข้างหน้า ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้น

วิกฤตการณ์นี้ก็คงจะยังไม่คลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วดังที่หลายๆ คนแอบหวัง แม้จะผ่านกุมภาพันธ์ เข้าสู่มีนาคม เมษายน และแม้คนไทยจะได้ชื่อว่าเป็น “เผ่าพันธุ์ที่ลืมง่าย” ก็ตาม

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ คือในเดือนมกราคมที่ผ่านมา “ความวัว” คือสถานการณ์หมอกควันที่ปกคลุมไปทั่วประเทศโดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่และ กทม. หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5” ยังไม่ทันจางหาย

“ความควาย” คือการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ก็เข้ามาแทรก!

 

ผมคิดว่า “ความวัว” นั้นยังไม่น่าวิตกกังวลเท่ากับ “ความควาย” เพราะเดี๋ยว “ลมว่าว” ก็จะมาพัดพา “ฝุ่น PM 2.5” ให้เจือจางหรือหายไปได้ในอีกไม่นานนี้

แต่ “ความควาย” นั้น น่าตระหนกมากนะครับ

เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า “เชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่” นี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ได้รับละอองไอ หรือละอองจาม และสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเท่านั้น

อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันดีอีกว่า วิกฤตการณ์ทั้ง “ฝุ่น PM 2.5” และทั้ง “เชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่” นี้

เราทุกคนสามารถป้องกันตนเองจากสถานการณ์เลวร้ายดังกล่าวได้ง่ายๆ ด้วยการสวม “หน้ากากอนามัย” ครับ

 

พูดถึงประเด็น “หน้ากากอนามัย” แล้ว ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เก่าเรื่องหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือหนังที่มีชื่อว่า Twelve Monkeys

Twelve Monkeys ภาพยนตร์ในปี ค.ศ.1995 ผลงานการกำกับฯ ของ Terry Gilliam

โดยมีทีมเขียนบทคือ Chris Marker และสองพี่น้องตระกูล Peoples คือ David และ Janet

เนื้อหาพูดถึง “โลกอนาคต” ที่เชื้อโรคร้ายคือ “ไวรัส” ได้แพร่ระบาด

ส่งผลให้มนุษยชาติตายเป็นเบือ ส่วนผู้ที่อยู่รอดได้นั้น ก็ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่บนพื้นโลกอย่างสงบสุขได้

พวกเขาต้องระเห็จไปอยู่ “ใต้ดิน”

และหากมีภารกิจจำเป็นที่ต้องขึ้นมา “บนดิน” พวกเขาต้อง “สวมหน้ากากอนามัย” ตลอดเวลา

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งแทรกซึมอยู่ในหนังก็คือ “การเดินทางย้อนเวลา” จากปี ค.ศ.2035 กลับไปยังช่วงที่ “ไวรัส” ยังไม่ระบาด หรือเพิ่งเริ่มแพร่กระจายในระยะแรก

อาสาสมัครเดินทางข้ามเวลาครั้งนี้มีชื่อว่า James Cole นำแสดงโดย Bruce Willis

ภารกิจคือการนำ “เชื้อโรคร้าย” นั้น กลับมายังยุคปัจจุบัน เพื่อคิดค้น ต่อยอด และหาหนทางรักษา เยียวยา และฟื้นฟูมนุษยชาติให้ปลอดภัยจาก “ไวรัส” ดังกล่าว

 

ภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งซึ่งพูดในประเด็นเดียวกัน คือ “ความเสียดาย” อดีตอันหอมหวาน ที่ไม่อาจหวนคืน

“อดีต” ที่สูญเสียไปด้วยน้ำมือมนุษย์อย่างเราๆ

ผมกำลังพูดถึงหนังที่มีชื่อว่า The Book of Eli

The Book of Eli กำกับการแสดงโดยพี่น้องตระกูล Hughes คือ Albert และ Allen

บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของ Gary Whitta และนำแสดงโดย Denzel Washington รับบท Eli พระเอกของท้องเรื่อง

The Book of Eli เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงความโหยหา “สิ่งดีๆ ในอดีต” ครับ

และ “สิ่งดีๆ ในอดีต” ในที่นี้ก็คือ “พระคัมภีร์ไบเบิล” รวมถึง “หนังสือ” ทั้งหมดที่เราเคยมี ได้สูญสลายไปพร้อมกับสงครามล้างโลก

นอกจาก “หนังสือ” ปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันก็เป็นของหายากมากเช่นกัน

โดยเฉพาะ “น้ำ” จึงเกิดการแย่งชิงทรัพยากรมีค่าเหล่านี้ด้วยความรุนแรง

หากสัญลักษณ์ของ Twelve Monkeys คือ “หน้ากากอนามัย” ที่ใช้ป้องกัน “ไวรัส” ระบาด

สัญลักษณ์ของ The Book of Eli ก็คือ “แว่นกันแดด” ในยุคที่ชั้นบรรยากาศโลกถูกทำลาย ทำให้แสงอาทิตย์ไม่มีตัวกรองก่อนจะส่องลงมาที่พื้นโลก

มนุษย์ยุคหน้าใน The Book of Eli จึงต้องสวม “แว่นกันแดด” เพื่อปกป้องดวงตา

 

ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว

นับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2561 เป็นต้นมา คนไทยเราคุ้นเคยกับการ “สวมหน้ากากอนามัย” เพื่อป้องกันการสูดรับเอาฝุ่นพิษ PM 2.5 เข้าสู่ร่างกาย

โดย “หน้ากากอนามัย” ในตอนนั้น ไม่ใช่ “หน้ากากอนามัยธรรมดา” ที่เราเคยใช้ป้องกัน “การติดเชื้อ” ทั่วๆ ไป

แต่ต้องเป็น “หน้ากากกันฝุ่นละออง” ชนิดพิเศษ คือ “หน้ากาก N 95” ครับ

และในปัจจุบัน ทุกคนมีความจำเป็นต้อง “สวมหน้ากากอนามัย” เพื่อป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่

 

ส่วนในอนาคตก็มีความเป็นไปได้มากว่า มนุษยชาติอาจต้อง “สวมแว่นกันแดด” เพื่อปกป้องดวงตาจากรังสีอันตราย จากการสูญเสียชั้นบรรยากาศโลกที่เคยช่วยกรองแสงอาทิตย์ให้กับเราครับ

และทุกวันนี้ก็มีหลายคำเตือนถึงแสงแดดในบางเวลาที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งผิวหนัง

ทำให้ในปัจจุบัน โลชั่นกันแดดและเสื้อผ้ากันรังสียูวีขายดีมาก

แม้สถานการณ์ในปัจจุบัน เรายังไม่ถึงขั้นต้องใช้ “แว่นกันแดด”

เพราะวิฤตการณ์ยูวีร้าย หรือรังสีมฤตยูอื่นๆ เดินทางเข้ามายังโลกของเราได้ไม่ครบถ้วน หรือที่มาถึงแล้วแต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่เกินขนาด

ทำให้ “อวัยวะใหม่” ของเราที่ “งอก” ออกมาจึงมีเพียง “หน้ากากอนามัย” ซึ่งผมอยากเรียกว่า “อวัยวะที่ 33” เท่านั้น ยังไม่ต้องมี “อวัยวะที่ 34” คือ “แว่นกันแดด”

 

ลําพัง “หน้ากากอนามัย” ก็เป็น “เรื่องใหม่” ที่หลายคนยัง “ไม่คุ้นเคย” และ “ไม่สะดวก” ทั้งใจและกายที่ต้องสวมใส่ หรือพกติดตัวตลอดเวลา

แต่เมื่อสภาวะแวดล้อมของโลกเราได้เปลี่ยนไปแบบยากที่จะหวนคืน “อดีตอันหอมหวาน”

เราคงต้องปรับตัว ป้องกันตนเองจากมลพิษ ด้วยการฝึก “สวมหน้ากากอนามัย” ให้เป็นนิสัย

อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการพึ่งพาตัวเอง ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากภาครัฐไปเสียทุกเรื่องครับ