“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม”ในกำมือ“บิ๊กเจี๊ยบ”จากรปห.-ลอบสังหาร! จับตา“บิ๊กแดง”กลางกระแสปรองดอง

“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ในกำมือ “บิ๊กเจี๊ยบ” จาก “รัฐประหาร” ถึง “ลอบสังหาร” ในสภาวะ “ไผ่กอเดียวกัน” จับตา “บิ๊กแดง” กลางกระแสปรองดอง

ท่ามกลางกระแสข่าวปฏิวัติรัฐประหาร ที่ถูกจับตามองอีกครั้ง หลัง บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พูดให้คิดไว้ว่า ถ้ากระบวนการสร้างสามัคคีปรองดอง ภายใต้ร่ม ป.ย.ป. สำเร็จ โอกาสที่การรัฐประหาร ก็มีโอกาสน้อย

จนทำให้เกิดคำถามในทางกลับกันว่า หากการปรองดองไม่สำเร็จ นักการเมืองพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ตกลงกันไม่ได้ หลังจากที่ทหารเชิญมาแสดงความเห็น เพื่อทำความเห็นร่วมลงนาม MOU แล้ว ก็อาจหมายถึง เสี่ยงต่อการเกิดรัฐประหาร

การปฏิวัติรัฐประหารที่อาจจะเกิดหลังการเลือกตั้ง ในช่วงการรอจัดตั้งรัฐบาล หรือเกิดความวุ่นวาย เช่น ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น คงไม่ใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นมากเท่าการรัฐประหารที่จะเกิดก่อนหน้านั้น

เพราะหากเกิดรัฐประหารหลังการเลือกตั้ง หากผลการเลือกตั้งไม่ตรงใจรัฐบาลทหาร หรือพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ย่อมหมายถึงการปฏิวัติตัวเอง

เพราะอย่าลืมว่า รัฐบาลของ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงรักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่

แต่ข่าวที่ยังสะพัดในอีกทิศทางหนึ่งที่ตามมา หลังรายงานความเป็นไปได้ในการเกิดการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง ของวอชิงตันโพสต์ ก็คือ การปฏิวัติซ้อน

หรือการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐบาลทหารของ พล.อ.ประยุทธ์

ที่ดูจะเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่น และลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก…

AFP / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

อย่าลืมว่า สังคมไทยอ่อนไหวต่อข่าวการรัฐประหารอย่างยิ่ง แม้ว่าคนไทยจะคุ้นเคยและคุ้นชินกับการรัฐประหาร ที่มีมากเกือบ 20 ครั้งก็ตาม เพราะไม่มีใครที่ยืนยันรับประกันได้ว่า รัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีก

ต่อให้ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ. ในเวลานั้นๆ ยืนยันว่าจะไม่ปฏิวัติรัฐประหารก็ตาม

แต่คำพูดของ ผบ.ทบ. ในเรื่องนี้ ดูจะหมดความน่าเชื่อถือ ความศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เพราะในอดีต ผบ.ทบ. หลายยุค มักจะยืนยันว่า จะไม่ปฏิวัติ แต่ก็เสียสัตย์ เสียคำพูด เสมอ

เช่นกัน ครั้งนี้ แม้ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. จะยืนยันแล้วว่า จะไม่รัฐประหารเพื่อล้มการเลือกตั้ง หากพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล หรือแม้แต่การปฏิวัติซ้ำ ปฏิวัติซ้อน ก็ตาม

ยิ่งในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ ข่าวลือต่างๆ นานาก็สะพัดมาเป็นระลอกๆ

โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.เฉลิมชัย ผบ.ทบ.รบพิเศษ ที่ถูกระบุว่าเป็นคนพิเศษที่มาในสถานการณ์พิเศษๆ เช่นนี้ ย่อมต้องไม่ธรรมดา

ว่ากันว่า ไม่ใช่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางเลือก หรือเพราะไม่ต้องการให้ บิ๊กแกละ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ของบิ๊กป้อม ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. จึงต้องให้ พล.อ.เฉลิมชัย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

และไม่ใช่เพราะ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีลูกป๋า ที่สนับสนุน พล.อ.เฉลิมชัย น้องรักสายรบพิเศษ เท่านั้น

แต่เพราะมีความ “พิเศษ” จนทำให้เสียงที่ดังออกจากตึกไทยคู่ฟ้ามาเป็นเวลาแรมปีก่อนหน้านี้ จะบอกว่า “ยังไงนายกฯ ก็เลือกบิ๊กเจี๊ยบ”

ความพิเศษนี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จำเป็นต้องปิดทางดับฝันของนายทหารน้องรักอย่าง บิ๊กเข้ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ในการขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เพราะ พล.อ.เฉลิมชัย มีอายุราชการถึงกันยายน 2561 เท่ากัน

เหล่านี้ จึงยิ่งทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ยิ่งแข็งแกร่ง จนถึงขั้นที่เชื่อกันว่า จะเป็น ผบ.ทบ. 2 ปีจนเกษียณ โดยไม่ถูกขยับไปเป็น ผบ.สส. เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.เทพพงศ์ เป็น ผบ.ทบ. ในปีสุดท้าย

ที่สำคัญ การขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ในยุคที่อำนาจอยู่ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช. มากมายขนาดนี้ แถมมี พล.อ.ประวิตร เป็นพี่ใหญ่ที่คุมกองทัพ ด้วยบารมีที่เต็มเปี่ยม ก็น่าจะทำให้อำนาจของ พล.อ.เฉลิมชัย ลดน้อยลง บารมีไม่เบ่งบาน

แต่ทว่า แม่ทัพนายกอง ทั้งสายบูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือราชินี และวงศ์เทวัญ ใน ทบ. ต่างก็ต้องแถวตรง สยบนิ่ง ณ เบื้องหน้า ผบ.ทบ.รบพิเศษผู้นี้

ไม่ใช่เพราะระเบียบวินัยทหาร ไม่ใช่แค่เพราะการเป็น ผบ.ทบ. และคุมกำลังในฐานะ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบฯ และเลขาธิการ คสช. เท่านั้น แต่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญ และความไว้วางใจบิ๊กเจี๊ยบคนนี้ทุกอย่าง

หรืออาจเป็นเพราะ “ความเชื่อ” ที่ว่า บิ๊กเจี๊ยบเป็นคนพิเศษอีกด้วย

 

แต่ย่างก้าวที่สำคัญ คือการที่ พล.อ.เฉลิมชัย พยายามจะสลายขั้วอำนาจต่างๆ ใน ทบ. จากที่มีวงศ์เทวัญ บูรพาพยัคฆ์ และทหารเสือราชินี ที่แย่งชิง ผลัดเปลี่ยนกันครองอำนาจในกองทัพมาตลอด

ด้วยการใช้คำว่า “ไผ่กอเดียวกัน” เพื่อให้ทุกขั้วกลุ่มใน ทบ. ได้ตระหนักว่า ทุกคนเป็นไผ่กอเดียวกัน เกิดมาจากรากเหง้าเดียวกัน มีอุดมการณ์ แนวคิดอันเดียวกัน จึงต้องรักสามัคคี เป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกภาพ

โดยใช้โอกาสที่ไปเยือนกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นขุมกำลังปฏิวัติรัฐประหารสำคัญของ ทบ. ที่มี บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นคอมแมนเดอร์ พร้อม ผบ.หน่วยคุมกำลังระดับกองพล กรม และกองพัน

“ผมกับแม่ทัพภาคที่ 1 มีการสื่อถึงกันตลอด” บิ๊กเจี๊ยบสื่อถึงความใกล้ชิดกับ พล.ท.อภิรัชต์

แม้ว่า พล.ท.อภิรัชต์ จะได้ชื่อว่าเป็นสายวงศ์เทวัญ เป็นคีย์แมนของ “ราบ 11 คอนเน็กชั่น” และเป็นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม

“ผมโตมาจากรบพิเศษ ผมอาจจะไม่ค่อยรู้จักน้องๆ ว่าใครเป็นใคร เป็นมายังไง แต่ผมก็พยายามที่จะพูดคุย และจดจำว่าใครเป็นใคร และทุกครั้งที่มาประชุม ผมก็จะใช้โอกาสนี้สร้างความคุ้นเคยกับน้องๆ ให้มากขึ้น” บิ๊กเจี๊ยบระบุ

แต่กระนั้น ก็มีความกังขาว่า ในสถานการณ์พิเศษ หรือคับขัน แม่ทัพนายกอง ผบ.หน่วยคุมกำลัง จะฟังคำสั่ง ผบ.ทบ. หรือฟังคำสั่งนายกฯ หรือ พล.อ.ประวิตร ที่สามารถสั่งตรงมาทาง พล.ท.อภิรัชต์ ได้เลย

แต่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ พยายามที่จะช่วยแบ๊กอัพให้ พล.อ.เฉลิมชัย ในการเป็น ผบ.ทบ. เต็มอำนาจ ทั้งการตั้งให้เป็นเลขาธิการ คสช. และ ผบ.กกล.รักษาความสงบฯ

แม้แต่การออกคำสั่งให้ พล.อ.เฉลิมชัย ในฐานะเลขาธิการ คสช. มีอำนาจในการอนุมัติการเคลื่อนย้ายกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ ยุทธภัณฑ์ แทนหัวหน้า คสช. ที่เคยคุมเอง มาตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

“นายกฯ ไม่ได้ไว้ใจแค่ผมคนเดียว แต่ ผบ.เหล่าทัพ ก็ทำงานด้วยกัน เป็นเอกภาพ ท่านไว้ใจทุกคน” บิ๊กเจี๊ยบออกตัว

หรือแม้แต่การยกให้ดูแลความปลอดภัยของทั้งตนเองและ พล.อ.ประวิตร หลังจากที่มีข่าวการลอบสังหาร โดยขบวนการหมิ่นเจ้าในลาว โพสต์ข่มขู่จะสังหารบิ๊กตู่และบิ๊กป้อม

“อย่าไปดูถูกฝีมือ ผบ.ทบ. เขา การ รปภ. เป็นหน้าที่ของเขา” บิ๊กตู่บอกนักข่าวต่อหน้า พล.อ.เฉลิมชัย

ที่มุมหนึ่งก็เหมือนเป็นการแสดงถึงความไว้วางใจที่มีต่อ ผบ.ทบ. ในการให้ดูแลความปลอดภัย เนื่องจากทีม รปภ. ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นทหารเสือราชินี จาก ร.21 รอ. ที่ในระยะหลังนี้ เสริมตำรวจสันติบาลหญิงเพิ่ม

รวมทั้งส่งทหารรบพิเศษ ฉก.90 เช่นเดียวกับทีม รปภ. ของบิ๊กเจี๊ยบเอง ไปดูแล พล.อ.ประวิตร ด้วย นอกเหนือจากเดิมที่เป็นสารวัตรทหารบก

รวมถึงกำลังทหารรบพิเศษ ที่มาดูแลในทำเนียบรัฐบาล นอกเหนือจากการดูแลของทหารจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1 รอ.) ในฐานะที่คุมพื้นที่

ไว้ใจและแสดงออกถึงขนาดนี้ ก็น่าจะเป็นการซื้อใจ พล.อ.เฉลิมชัย ได้ในอีกทางหนึ่งเช่นกัน

บิ๊กเจี๊ยบ ก็แสดงออกให้เห็นเช่นกันว่า ภักดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ในการสนองตอบในทุกคำสั่ง

โดยเฉพาะการดูแลความปลอดภัย…

การที่ พล.อ.ประวิตร เป็นคนปูดข่าวถูกโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ขู่ฆ่า ด้วยตนเอง โดยที่ พล.อ.เฉลิมชัย ก็ออกมารับลูก แม้จะออกตัวว่าใครๆ ก็คิดได้ แต่การทำไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ก็ตาม

แถมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ที่ปูดว่า เป็นกลุ่มหมิ่นสถาบันที่อยู่ในต่างประเทศ ก่อนที่ บิ๊กแอ๊ว พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการ สมช. ระบุว่า เป็นขบวนการหมิ่นสถาบันในลาว

อันเป็นกลุ่มคนที่บิ๊กป้อมจะให้ พล.อ.ทวีป ไปเจรจากับทางการลาว ในการจับกุม เพราะพบข้อมูลว่าหลบอยู่ในลาว และใช้วิทยุและโซเชียลมีเดียในการโจมตีสถาบันกษัตริย์ของไทย

ที่ถูกตีความว่าเป็นการตอบโต้คำสั่งของ พล.อ.ประวิตร ที่ปราบปรามจับกุมพวกเขา

พล.อ.ทวีป เนตรนิยม

แต่ข่าวนี้ก็ถูกฝ่ายตรงข้าม คสช. มองว่า เป็นการสร้างกระแส เพื่อกลบข่าวอื่นๆ และใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม อันเป็นข่าวที่มักเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย เพื่อหวังผลทางการเมือง และด้านข่าวในหน้าสื่อ

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า รัฐบาลและ คสช. เอาเรื่องลอบสังหาร มาเล่นเกมครั้งนี้ เพื่อจะก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางใด

เพราะในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร กำลังเดินหน้าเรื่องการสร้างสามัคคีปรองดอง ถึงขั้นที่นายกฯ ระบุว่า ป.ย.ป. ก็คือ ครม. หรือรัฐบาล ที่มาทำงานด้านนี้อย่างเต็มตัว โดยนายกฯ เป็นหัว และรองนายกฯ กำกับดูแลด้านต่างๆ

แต่กลับมีความพยายามในการลอบสังหาร 2 พี่น้อง 2 ป. นี้…

มุมหนึ่ง ถูกมองว่า เป็นความพยายามที่จะทำลาย สกัดกั้นกระบวนการปรองดองของรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่ทุ่มสุดตัว จนถูกมองว่า เพราะมี “ดีล” กับนักการเมือง เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ และการมีนายกฯ คนนอก

ในอีกมุมหนึ่ง พบว่ามีความพยายามจะตอกย้ำว่า ทหารคือคู่ขัดแย้ง ที่ไม่ควรมาทำเรื่องปรองดอง อันนำมาซึ่งการแชร์ภาพและคลิปเหตุปะทะของทหารกับคนเสื้อแดง ในปี 2553 เพื่อไม่ต้องการให้คนเสื้อแดง นปช. และพรรคเพื่อไทย ร่วมปรองดองกับ คสช.

โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในเป้าหมายคือ พล.ท.อภิรัชต์ แม่ทัพคนสำคัญ น้องรักนายกฯ ที่มีการนำภาพเมื่อครั้งที่เขาเป็น ผบ.ร.11 รอ. นำกำลังทหารไปยึดคืนสถานีไทยคม จากคนเสื้อแดง จนเกิดการปะทะกัน แบบที่ พล.ท.อภิรัชต์ ในตอนนั้นมีอาวุธปืนในมือ

“เป็นปืนสเปรย์พริกไทย และปืนยิงแก๊สน้ำตา ไม่ได้ใช้อาวุธจริง แม้จะจวนตัวขนาดนั้น” บิ๊กแดงเล่า

แต่ก็แปลกใจที่มีการนำเรื่องนี้มาขุดคุ้ย ตอกย้ำ พร้อมบิดเบือนให้เข้าใจผิดว่าใช้อาวุธ

“ตอนนั้น ถ้าใช้อาวุธจริงในการป้องกันตัวเอง ก็คงจะเสียหาย แต่เพราะเราได้รับคำสั่งไม่ให้ใช้อาวุธใดๆ กับประชาชน ใช้ได้แค่อุปกรณ์ปราบจลาจลเท่านั้น” พล.ท.อภิรัชต์ ระบุ

AFP PHOTO / ROSLAN RAHMAN

แต่นี่ก็เป็นเสมือนสัญญาณเตือนแล้วว่า เขาเองเป็นเป้าหมายที่ถูกบันทึกชื่อในแบล๊กลิสต์คนเสื้อแดงแบบถาวร และพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ หากมีโอกาส

ยิ่งตอนนี้ พล.ท.อภิรัชต์ ถูกมองว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตอันใกล้ ต่อจาก พล.อ.เฉลิมชัย ที่จะเกษียณในปี 2561 ในปีที่มีการเลือกตั้งพอดี ก็ย่อมมีความพยายามในการเตะตัดขา

“ไม่เป็นไร ก็ต้องอดทน และคิดว่า นักรบย่อมมีบาดแผลที่เกิดจากการสู้รบ การทำหน้าที่” พล.ท.อภิรัชต์ กล่าว พร้อมยกม็อตโต้ที่ว่า In War, There are no unwounded soldiers

เพราะหากย้อนกลับไปดูเส้นทางของ พล.ท.อภิรัชต์ แกนนำ ตท.20 คนนี้ ตั้งแต่เป็น ผบ.ร.11 รอ. นั้นก็ออกมาปกป้อง ผบ.ทบ. มาทุกยุค ตั้งแต่ บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จนมาถึงยุค พล.อ.ประยุทธ์ จนกลายเป็นเป้าของคนเสื้อแดง

“Missions change, Warriors don’t” พล.ท.อภิรัชต์ เปรย

เพราะในช่วงเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา เขาเองได้รับภารกิจจากผู้บังคับบัญชามากมาย ทั้งแบบเปิดเผย และภารกิจลับ ที่ก็ไม่เคยทำให้ผู้บังคับบัญชาผิดหวัง

แต่แม้ภารกิจจะเปลี่ยนไป แต่ทว่า ความเป็น พล.ท.อภิรัชต์ ที่มักบอกว่าเป็นนายทหารที่ปกป้องสถาบันเหนือสิ่งอื่นใดนั้น ไม่เคยเปลี่ยน

เพียงแต่ว่าในวันนี้ การเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลัง และมีภารกิจมากมาย และเป็น ผบ.หน่วยที่สูงขึ้น พล.ท.อภิรัชต์ เติบโตขึ้น จึงต้องวางตัวใหม่ ด้วยความสุขุมรอบคอบ มาดนิ่ง ไม่อาจไปสู้รบปรบมือ เมื่อครั้งเป็นผู้การได้อีก

นี่เอง จึงทำให้คาดกันว่า จากนี้ไป ขุนพลของ คสช. จะถูกท้าทาย ตกเป็นเป้าหมาย ทีละคนๆ ที่ตอนนี้เริ่มจาก บิ๊กตู่ บิ๊กป้อม และบิ๊กแดง

ต่อให้ พล.อ.ประวิตร จะเชื่อมั่นว่า ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดี หรือปีไก่ทอง ที่จะทำงานสำคัญอย่างปรองดองสำเร็จ ไม่ใช่ปีที่จะดวงตก หรือถูกลอบสังหารก็ตาม

แต่ดูเหมือนบิ๊กตู่จะไม่ค่อยมั่นใจในดวงชะตาของตนเองมากนัก เพราะตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ. มา 4 ปี จนมาเป็นนายกฯ เข้าปีที่ 3 แล้วนั้น มีแต่ขาขึ้นมาตลอด

โบราณว่า เมื่อมีขาขึ้น ขึ้นจนพีกสุดแล้ว…ภาวการณ์ที่เรียกว่า ขาลง ย่อมรออยู่เบื้องหน้า