บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์ : ไทยจัดลอยกระทงหน้าทำเนียบขาวปี 2007 ก่อนทรัมป์จัดรถถังฉลองวันชาติปี 2019

คงจำอุบัติเหตุทางการค้ากันได้ กรณีประธานาธิบดีจอมอหังการสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดฉากเขย่าโลกให้สั่นหวั่นไหว ด้วยการประกาศตั้งกำแพงภาษีมหาโหดสินค้านำเข้าจากจีน

อย่างไม่เกรงอกเกรงใจนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน แถมยังกร้าวกีดกันสัมพันธภาพสื่อออนไลน์ไร้สายอย่างหัวเว่ยที่กำลังมีอิทธิพลต่อชาวโลก โดยห้ามสื่อแพลตฟอร์มไซเบอร์อเมริกาทุกค่าย ทำธุรกิจกับหัวเว่ยแบบตัดหางปล่อยวัดกันไปเลยทีเดียว

ทำเอาผู้นำจีนต้องออกมาตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าผู้นำสหรัฐ ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐทันที เพื่อแสดงความไม่พอใจ เล่นเอาประเทศทั่วโลกที่ดุจหญ้าแพรกต้องแหลกลาญกับผลพวงทางการค้าไปตามๆ กัน

…รวมถึงไทย!

 

“ความวัว” ชาวโลกยังไม่ทันจางหาย นายทรัมป์ก็หันมาจับ “ความควาย” ให้คนอเมริกันได้เกิดอาการงุนงงกับวิธีคิดจากผู้นำของตน ในการจัดงานฉลองวันชาติสหรัฐครบ 243 ปีหลังหลุดบ่วงผู้ดีอังกฤษเมื่อ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776

แล้วนำวันครบรอบปีดังกล่าวมาเป็น “วันชาติ” โดยทุกปีจะมีพิธีฉลองด้วยขบวนพาเหรดสร้างสีสันบนถนนในย่านแคปปิตอล ใจกลางเมืองหลวง นครวอชิงตัน ดี.ซี.

แต่ปีนี้โอ้แม่เจ้า!…ทรัมป์เหมือนต้องการเนรมิตความอลังการในแสนยานุภาพของกองทัพอเมริกันอวดชาวโลก นัยว่าให้เหนือกว่าเกาหลีเหนือแข่งกับคิม จอง อึน โดยกำหนดให้วันดังกล่าวเป็น “วันแห่งความสุข (Happy 4TH of July)” สำหรับคนอเมริกัน

ภายใต้ธีม “Salute to America” ซึ่งหมายถึง “พิธีสดุดีชาติอเมริกา” มีการนำรถหุ้มเกราะที่ใช้ในสงครามมาแสดงหน้าอนุสรณ์สถานอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งห่างทำเนียบขาวเพียง 3 ก.ม. พร้อมขบวนพาเหรดทหารจากแต่ละเหล่าทัพ

ส่วนบนท้องฟ้าโชว์ศักยภาพเครื่องบินรบอเมริกา ที่ทรัมป์ภูมิใจนำเสนอภายใต้งบประมาณดำเนินงาน 2.5 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 75 ล้านบาท

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากผู้ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์แอ็กติวิตี้ครั้งนี้…ตามข่าวที่ปรากฏออกมา

 

ณใจกลางเมืองหลวงตรงย่านแคปปิตอล อันเป็นที่ตั้งทำเนียบขาว ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกเชื้อสายไอริช และสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1800 เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานและที่พักประธานาธิบดีสหรัฐ ละแวกเดียวกับอนุสรณ์สถานลินคอล์น สถานประกอบพิธีสดุดีทหารอเมริกันปีนี้

เชื่อมั้ยว่า…ครั้งหนึ่งไทยเคยไปจัดงานประเพณีเทศกาลลอยกระทงประจำปี ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 เมื่อปี ค.ศ.2007 หรือ พ.ศ.2550 กลางสนามหน้าทำเนียบขาวสัญลักษณ์ทางการเมืองการปกครองคู่แผ่นดินอเมริกา ที่คนทั้งโลกต่างคุ้นตากันเป็นอย่างดี

งานครั้งนั้นเกิดจากภาคธุรกิจเอกชนไทย คือสิงห์คอร์เปอเรชั่น ได้ประสานความร่วมมือชมรมร้านอาหารไทยในนครวอชิงตัน ดี.ซี. ให้รับเป็นเจ้าภาพหลักในการขอใช้ลานดังกล่าว เป็นสถานที่จัดแสดงประเพณีไทย ในคืนลอยกระทงที่ไทยสืบทอดกันมาแต่โบราณ

รัฐบาลอเมริกาขณะนั้นยินดีให้การสนับสนุน แต่ถึงบริเวณนั้นจะมีสระน้ำขนาดใหญ่เหมาะใช้เป็นท้องนทีรับกระทงไทยได้ ทว่า…รัฐบาลเจ้าของพื้นที่ไม่อนุญาต ด้วยเกรงปัญหาความเสื่อมโทรมจะตามมา

จึงผ่อนผันให้ผู้จัดงานไทยทำอ่างน้ำจำลองท้องน้ำขึ้นกลางลานนั้น โดยมีอาคารทำเนียบทรงสง่างามปรากฏอยู่เบื้องหลัง สามารถสื่อแสดงถึงพื้นที่การจัดงานได้อย่างดีเยี่ยม

 

บรรยากาศงานลอยกระทงสุดแสนพิเศษคืนนั้น แพรวพราวด้วยสีสันจากแสงไฟส่องกระทบผิวน้ำในอ่างจำลองขนาดใหญ่ รับกับฉากหลังภาพทำเนียบขาวประดับแสงฉายให้เห็นทรงอาคารเด่นชัดขึ้น

โดยมีวงดนตรีไทยประกอบด้วยระนาด โปงลาง และกลอง บรรเลงเพลงไทยเวอร์ชั่นสมัยนิยม ขับกล่อมคนร่วมงานหลายพันคน ท่ามกลางสายลมเย็นอุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส

ผู้คนที่ร่วมงาน ณ ราตรีนั้น จำแนกได้ตั้งแต่ชาวอเมริกันที่ครองเรือนร่วมกับคนไทยในนครแห่งนี้ บางรายมาไกลถึงเวอร์จิเนีย เพื่อมาร่วมงานประเพณีที่ลือเลื่องเรื่องมนต์ขลังไทย แต่ส่วนใหญ่เป็นอเมริกันชนที่เคยมาเที่ยวเมืองไทย และมีโอกาสได้ลอยกระทงจริงในถิ่นตำนานนี้

กลุ่มสุดท้ายคืออเมริกันที่หลงรักสยามเมืองยิ้มเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว

ปรากฏการณ์งานครั้งนี้…นอกจากจะเป็นการเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมไทยแล้ว หากมองภาพรวมแบบแม็กโคร ก็น่าจะถือเป็นกระสุนอีกเม็ดที่เจาะทะลุเข้าถึงการส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวไทย สู่ภาคประชาชนชาวอเมริกัน เพื่อหวังกระตุ้นให้เกิดการเดินทางมาเที่ยวบ้านเรา

แม้ปีต่อๆ มาจะไม่ได้จัดกันหน้าทำเนียบขาว โดยย้ายไปจัดภายในวัดไทยที่นั่นแทนแล้วก็ตาม

 

จากแฟ้มข้อมูลกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ระบุถึงปูมหลังของสถิติการท่องเที่ยวตลาดนี้ ว่ามีอัตราการเติบโตช่วง 6 ปี คือ 2556-2561 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6.3 ต่อปี ขณะรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นร้อยละ 8.5 ต่อปี

มาดูปี 2561 สถิติทัวริสต์พญาอินทรีเที่ยวไทย 1.07 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6 สร้างรายได้ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ใช้วันพักเฉลี่ย 14.18 วัน จ่ายเงินวันละ 5,204 บาทต่อคน น้อยกว่าทัวร์จีนจ่ายต่อหัว 6,700 บาท ขณะรัสเซียจ่าย 4,445.79 บาท และญี่ปุ่น 4,205.25 บาท

เป็นกลุ่มชายมากกว่าหญิงที่สัดส่วน 55/45 และกลับมาเที่ยวไทยซ้ำหลายครั้งถึงร้อยละ 67 ส่วนคนมาเที่ยวไทยครั้งแรกมีเพียงร้อยละ 33

และน่าสนใจตรงที่คนอเมริกันชอบวางแผนเดิน ทางด้วยตนเอง เหมือนตัดปัญหาซื้อบริการผ่านเอเย่นต์ทัวร์ด้วยสัดส่วนร้อยละ 93.26/6.74

ข้อมูลดังกล่าวยังบอกอีกว่า คนอเมริกันวัยทำงานอายุ 25-34 ปี เลือกมาทัวร์ไทยมากสุดร้อยละ 27.18 รองลงมาเป็นหนุ่มสาววัยเอ๊าะๆ อายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 16.96 ส่วนวัยกลางคน 35-44 ปี กลับมีเพียงร้อยละ 15.73 เท่านั้น

เมื่ออเมริกาถูกจัดอันดับให้เป็นตลาดสำคัญ มาแต่ยุคบุกเบิกอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เมื่อปี 2503 ก่อนจะปรากฏจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้พุ่งกระฉูดอย่างที่เห็นทุกวันนี้

ที่นี่จึงเป็นประเทศแรกที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อสท.) ขณะนั้น เลือกไปตั้งสำนักงานสาขาขึ้นกลางนครนิวยอร์ก เมื่อปี 2508 และยังคงดำเนินงานถึงปัจจุบัน

เมื่อแนวโน้มตลาดดีขึ้นจึงเปิดสำนักงานสาขาลอสแองเจลิส และนครชิคาโกตามมาภายหลัง แต่ไม่นานก็ต้องปิดชิคาโก เมื่อไทยเกิดภาวะเศรษฐกิจผันผวนฟองสบู่แตกยับเยิน!

 

การเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในอเมริกาโดยภาคเอกชนไทย ยังคงรุกคืบหน้าต่อไปถึงการเข้าร่วมงานเอเชี่ยน เฟสติวัล ซึ่งจัดโดยกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียในนครวอชิงตัน ดี.ซี. ที่เคยจัดขึ้นในเรสตัน พาร์ก ช่วงสิงหาคม หลังจากนั้นทราบว่าเปลี่ยนสถานที่จัดไปตามความเหมาะสม

งานนี้มีการแสดงวัฒนธรรมชาติเอเชีย อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อาเซียนรวมไทย พร้อมจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าพื้นเมืองและอาหารให้คนอเมริกันชิม ไทยเราไปเสนอขายผัดไทย บะหมี่น้ำ หมู-ไก่ปิ้ง หมูสะเต๊ะ กล้วยแขก และข้าวเหนียวมะม่วง

ทั้งหมดนี้เป็นผลพลอยได้เชิงตลาดท่องเที่ยวไทย ที่เราเคยหยิบจับเอาทัพวัฒนธรรมประเพณีอันยิ่งใหญ่ในแสนยานุภาพไปประกาศศักดาต่อชาวอเมริกันก่อนอเมริกาจะครบ 243 ปี ปีนี้

ถึงจะไม่หวือหวาเท่าแนวคิด Salute to America ภายใต้เจตนาส่งความสุขให้คนอเมริกันด้วยคำหวานๆ ผ่านโพสต์นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ว่า “Happy 4TH of July” แต่เราก็ทำสำเร็จมาแล้ว

และไม่แน่นะว่า…ปีหน้าหรือปีต่อๆ ไป อเมริกาจะมีดราม่าบทนี้อีกมั้ย?…เพราะคนอเมริกันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่า…ชายสูงวัยผู้อหังการคนนี้จะผ่านเวทีเลือกตั้งกลับเข้ามาหรือไม่!?