มงคล วัชรางค์กุล : เปิดศึกอิหร่าน แนวรบที่ไม่ชนะของทรัมป์

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2019 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส อับราฮัม ลินคอล์น (USS Abraham Lincoln) พร้อมกองกำลังทิ้งระเบิด และส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 2 ลำมาประจำในฐานทัพอากาศอเมริกันในกาตาร์

จากนั้นได้ส่งเรือยูเอสเอส อาร์ลิงตัน (USS Arlington) ซึ่งใช้ในการลำเลียงนาวิกโยธิน พร้อมกองเรือสนับสนุน เรือรบสะเทินน้ำสะเทินบก และเฮลิคอปเตอร์มาเสริมกองเรือบรรทุกเครื่องบินในอ่าวเปอร์เซีย

และอเมริกายังติดตั้งขีปนาวุธแพทริออตที่มีศักยภาพในการโจมตีเครื่องบินรบ โดรน พิฆาตขีปนาวุธและขีปนาวุธนำวิถี โดยขณะนี้ได้นำไปติดตั้งในบาห์เรน จอร์แดน คูเวต กาตาร์ และยูเออี

ล่าสุด ทรัมป์ได้สั่งเสริมกำลังทหารอเมริกันในตะวันออกกลางอีก 1,500 คน

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอเมริกาได้รับคำเตือนจากหน่วยสืบราชการลับ “มอสสาด” (Mossad) ของอิสราเอล ส่งข่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่อิหร่านกำลังวางแผนโจมตีกองกำลังสหรัฐ ตลอดจนผลประโยชน์ของสหรัฐในอ่าวเปอร์เซีย รวมทั้งการโจมตีชาติพันธมิตรของสหรัฐอย่างซาอุดีอาระเบีย หรือยูเออี

หน่วยข่าวกรอง CIA ของอเมริการะบุว่า อิหร่านนำขีปนาวุธลงมาติดตั้งในเรือ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อกองเรืออเมริกัน

เตหะรานได้ออกมาเตือนว่า เรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกาจะย่อยยับด้วยขีปนาวุธลูกเดียวของอิหร่าน

เตหะรานได้ขอให้ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี จีน และรัสเซียที่ร่วมลงนามในสัญญาควบคุมนิวเคลียร์กับอิหร่าน (Joint Comprehensive Plan of Action – JCPOA) ให้ช่วยอิหร่านรอดพ้นจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจภายใน 6 เดือน มิฉะนั้น อิหร่านจะกลับมาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีก

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้ การพาณิชย์นาวีของสหรัฐได้แจ้งเตือนเรือสินค้าของสหรัฐ รวมทั้งเรือบรรทุกน้ำมันที่แล่นผ่านอ่าวเปอร์เซียว่า อาจจะตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของอิหร่าน

รวมทั้งอเมริกาได้เตือนเครื่องบินพาณิชย์ที่บินผ่านอ่าวเปอร์เซียให้ใช้ความระมัดระวัง

ทั้งหมดนี้อเมริกาได้ผลประโยชน์ในยกแรกด้วยการขายอาวุธให้ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี จอร์แดน มูลค่า $ 8,100 ล้าน ทรัมป์รีบร้อนขายโดยไม่รอผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส

การสร้างภาวะสงครามจนถึงโชว์การรบจริงคือวิธีการตลาดของอเมริกา

 

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่านพุ่งทะยานขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 เมื่ออเมริกาโดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับอิหร่านและชาติมหาอำนาจในปี 2015

และเริ่มนโยบายแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านในทันที

เดือนเมษายน 2019 อเมริกาประกาศให้ “กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน” (Iran Revolutionary Guard Corps – IRGC) เป็นองค์การก่อการร้ายต่างชาติ

IRGC เป็นกองกำลังทหารชั้นดีที่สุดของอิหร่าน ก่อตั้งหลังการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 เพื่อปกป้องระบบการปกครองของผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ขึ้นตรงกับผู้นำสูงสุดของอิหร่าน มีกำลังพลกว่า 150,000 คน ทั้งทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ ทำหน้าที่ควบคุมด้านยุทธศาสตร์และขีปนาวุธของอิหร่าน

IRGC เป็นกองกำลังทหารที่ทรงอิทธิพลทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจในอิหร่าน และยังแผ่อิทธิพลไปยังพื้นที่อื่นในตะวันออกกลางอีกด้วย

ทรัมป์อ้างว่า “อิหร่านไม่ได้เป็นเพียงรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย แต่ IRGC ยังมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนเงินทุนและประชาสัมพันธ์การก่อการร้ายในฐานะเครื่องมือทางการทูต”

“ถ้าคุณทำธุรกิจกับ IRGC ก็เท่ากับคุณสนับสนุนเงินทุนในการก่อการร้าย”

การขึ้นบัญชีกองกำลัง IRGC เป็นองค์การก่อการร้ายระหว่างประเทศ ทำให้อเมริกาเกิดความชอบธรรมในการ “คว่ำบาตรทาง ศก.ระดับสูงสุด” เพื่อกดดันอิหร่าน

ในขณะเดียวกัน เตหะรานก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นบัญชีสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐก่อการร้าย พร้อมขึ้นบัญชีกองบัญชาการสหรัฐ US Central Command – CENTCOM เป็นกองกำลังก่อการร้าย

การคว่ำบาตรระดับสูงสุดของอเมริกาต่ออิหร่านนอกจากพยายามปิดกั้นการส่งออกน้ำมันแล้ว ยังปิดกั้นการส่งออกแร่ธาตุที่เป็นรายได้เข้าประเทศอันดับสองของอิหร่านรองจากการส่งออกน้ำมันอีกด้วย

ในเรื่องการส่งออกน้ำมัน เดิมมี 8 ประเทศที่ได้รับอนุมัติให้ซื้อน้ำมันจากอิหร่านในจำนวนจำกัด ได้แก่ จีน ตุรกี ญี่ปุ่น อินเดีย ฯลฯ และการซื้อน้ำมันจากอิหร่านนี้สิ้นสุดหมดอายุวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ตอนนี้มีเพียงตุรกีประเทศเดียวที่ประกาศงดซื้อน้ำมันจากอิหร่านเพื่อเอาใจอเมริกา เพราะอเมริกากำลังโกรธที่ตุรกีไปซื้อระบบป้องกันขีปนาวุธ s – 400 จากรัสเซีย

ส่วนประเทศอื่นๆ ยังไม่มีข่าวออกมา

 

แต่ท้ายที่สุดแล้วคงเหลืออินเดียเพียงประเทศเดียวที่จะยังซื้อน้ำมันจากอิหร่าน และแอบให้ความช่วยเหลืออิหร่าน เหมือนสมัยที่ประธานาธิบดี George W. Bush คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่านแล้วอินเดียให้ความช่วยเหลืออิหร่าน

สมัยนั้นปี 2009 อินเดียวางท่อส่งน้ำมันจากอิหร่านข้ามปากีสถานทั้งประเทศใกล้จะแล้วเสร็จ ประธานาธิบดี George W. Bush ได้ส่ง Secretary of States, Condoleezza Rice บินไปคุยกับ Manmohan Singh นายกรัฐมนตรีอินเดียที่เดลี เพื่อบอกว่าท่อส่งน้ำมันนี้ต้องไม่เกิดขึ้น

แต่อินเดียไม่ให้ความสนใจ

ยิ่งไปกว่านั้น อินเดียยังให้เงินกู้อิหร่านอีก $ 100 ล้าน ทั้งที่อินเดียกำลังอยู่ใต้ IMF ถึงจะไม่ใช่เงินจำนวนมากมาย แต่น้ำใจให้เห็นว่า

อินเดียคือมิตรแท้ในยามยากของอิหร่าน

เงินกู้และเงินค่าน้ำมันจากอินเดียช่วยต่อลมหายใจให้อิหร่านอยู่รอดมาจนทุกวันนี้

เหตุผลเดียวคือ กลุ่มธุรกิจที่กุม ศก.ของอินเดียคือกลุ่ม TATA เป็นคนเชื้อสายเปอร์เซียน หรือเชื้อสายอิหร่าน

TATA ถือหุ้นใหญ่ Air India สายการเดินเรือ อู่ต่อเรือ กุมตลาดเพชร-พลอย ธนาคารการเงิน โรงถลุงเหล็ก ธุรกิจเหล็ก สารพัดธุรกิจจนถึงเกลือป่น

งบดุลของ TATA ใหญ่กว่างบประมาณประเทศบังกลาเทศหลายเท่า

โดยเฉพาะชั่วโมงนี้เศรษฐกิจของอินเดียเข้มแข็งกว่าสมัยก่อน ผิดกันราวฟ้ากับดิน โอกาสจะปล่อยให้อิหร่านโดดเดี่ยวคงไม่มี

TATA อินเดียก็เหมือนกับยิวแห่ง Wall Street ที่กุมเศรษฐกิจอเมริกา

อิหร่านมีไพ่อีกใบที่ต่อรองกับอเมริกา คือ ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ที่เล็งเป้าไปที่ Tel Aviv เมืองหลวงของ Israel พร้อมจะกดปุ่มทันทีที่อเมริกาบุกเตหะราน

Tel Aviv จะแหลกเป็นจุณ

อเมริกาจะปล่อยให้ยิวถูกทำลายไม่ได้ ดังนั้น การบุกอิหร่านจะไม่มีวันเกิดขึ้น

หมายเหตุ : ขณะนี้มีกองเรือประมงไทย 3 ลำชักธงอิหร่านจับปลาอยู่ในอ่าวเปอร์เซีย ใช้ไต๋และลูกเรือไทย ขอเอาใจช่วยไม่ให้ถูกยิงจากกองเรือรบอเมริกัน