บทความพิเศษ /นงนุช สิงหเดชะ/ ‘วัสดุไวไฟ’ ชื่อ ‘ปิยบุตร’

บทความพิเศษ /นงนุช สิงหเดชะ

‘วัสดุไวไฟ’ ชื่อ ‘ปิยบุตร’

 

ในที่สุดก็เป็นเรื่องจนได้ สำหรับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เมื่อสิ่งที่เขาเคยบรรยายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ตั้งแต่ยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2556 ย้อนกลับมาเล่นงานในวันนี้ วันซึ่งเขากำลังจะได้เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ในสภา

เนื้อหาที่นายปิยบุตรเคยบรรยายในครั้งนั้น ถูกนำไปร้องทุกข์กล่าวโทษอย่างที่ทราบกันเพราะเห็นว่ามีทัศนคติที่อาจเป็นอันตรายต่อสถาบัน

คนไทยส่วนใหญ่ที่เคารพสถาบันในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชาติ ย่อมเห็นว่าสิ่งที่นายปิยบุตรพูดนั้น “รุนแรง” เกินไป ทำร้ายจิตใจผู้ที่รักสถาบันกษัตริย์ เพียงแต่ในช่วงนั้นนายปิยบุตรพูดในฐานะนักวิชาการ หลายคนแม้จะโกรธมากก็ไม่ได้ไปดำเนินการกล่าวโทษ เพราะเกรงจะถูกหาว่าไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพนักวิชาการ

แต่ในเมื่อนายปิยบุตรเปลี่ยนสถานะมาเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคอนาคตใหม่ และมีอำนาจออกกฎหมาย ทำให้หวั่นเกรงกันว่าจะมีการดำเนินการบางอย่างให้สำเร็จ เช่น แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 หรือที่เรียกกันว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

 

นายปิยบุตรเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะนิติราษฎร์ (ซึ่งถูกแซวว่านิติเรด) ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาหลังการรัฐประหาร 2549 ผลงานเด่นที่ผลักดันอย่างหนักเรื่องหนึ่งก็คือการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งมีเนื้อหาลดโทษผู้หมิ่นประมาทกษัตริย์ให้เบาลง ให้มีโทษไม่ต่างจากหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดามากนัก เป็นต้น

นิติราษฎร์ออกแรงแข็งขันอย่างหนักที่จะยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีการผลักดันให้นำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเมื่อเดือนมกราคม 2555 ส่งผลให้เกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวาง

ต่อมาต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 มีชาย 2 คน เป็นคู่แฝด อายุ 30 ปี อาศัยอยู่ในปทุมธานี ได้เข้ามาชกหน้านายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ บริเวณลานจอดรถมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต่อมาตำรวจจับกุมตัวได้ ผู้ต้องหาสารภาพโดยให้เหตุผลว่าไม่พอใจที่กลุ่มนิติราษฎร์จะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งจากการสอบสวนของตำรวจไม่พบว่าผู้ต้องหาสังกัดสีการเมืองใด ไม่ว่าเหลืองหรือแดง ไม่เคยพบว่าไปชุมนุมกับกลุ่มใด

แน่นอนว่าฝ่ายสนับสนุนนิติราษฎร์ย่อมรีบฟันธงว่าฝ่ายตรงข้ามส่งมาป่วน โดยไม่ยอมรับว่าผู้ก่อเหตุมีความไม่พอใจการกระทำของกลุ่มนิติราษฎร์เป็นการส่วนตัว

สิ่งที่เห็นได้ชัดประการหนึ่งในทุกครั้งของการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ก็คือ จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงคอยตามไปฟัง ไปเชียร์เต็มไปหมด แม้แต่การบรรยายของนายปิยบุตรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 (ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์) ก็จะสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงปรบมือชอบอกชอบใจ เมื่อนายปิยบุตรกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ในลักษณะที่คนไทยส่วนใหญ่ฟังแล้วรู้สึกว่าถูกย่ำยีจิตใจ

 

ภายหลังจากมีผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนายปิยบุตรเกี่ยวกับการบรรยายดังกล่าว นายปิยบุตรได้ออกมาชี้แจง ซึ่งโดยใจความก็สรุปว่า

  1. คลิปดังกล่าวถูกตัดมาแค่บางตอน และเป็นการบรรยายช่วงที่ยังเป็นอาจารย์
  2. เนื้อหาคลิปส่วนที่ถูกตัดมานั้นตัวเองไม่ได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ไทย
  3. การตัดคลิปมาโดยไม่ระบุว่าพูดในโอกาสใดและติดโลโก้พรรคอนาคตใหม่ มีเจตนาทำให้เขาถูกเกลียดชัง

และ 4. ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา มีขบวนการใส่ร้ายป้ายสี โดยใช้ข้อหา “ไม่จงรักภักดี” หรือ “ล้มเจ้า” นำสถาบันกษัตริย์มาใช้โจมตีกันทางการเมือง ทำให้สังคมแตกแยกเกลียดชังกัน

คำชี้แจงข้อที่ 4 นั้นดูเหมือนจะเป็น “สคริปต์” เดียวกับที่ฝ่ายโปรทักษิณมักจะนำมาอ้างตลอด

อันที่จริงนายปิยบุตรจะอ้างอย่างไรก็ได้ในทางที่เป็นคุณกับตัวเอง แต่วิญญูชนฟังแล้วย่อมรู้ได้เองถึง “เจตนาแท้จริง” ของนายปิยบุตร เพราะนี่ดูเหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่นายปิยบุตรกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ในลักษณะกระทบกระเทือนจิตใจคนไทย

นายปิยบุตรอ้างว่า ไม่ได้เอ่ยถึงสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ประเด็นสำคัญคือการบรรยายเกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทยไม่ใช่หรือ แม้จะอ้างถึงกรณีสถาบันกษัตริย์ของต่างประเทศ แต่ “เป้าหมาย” ก็คือต้องการกระทบกระเทียบสถาบันในไทยอยู่ดี ใช่หรือไม่ จะแก้ตัวอย่างไรคนเขาก็อ่านความหมายระหว่างบรรทัดออก

ที่สำคัญ หลายประโยคที่นายปิยบุตรยืมปากคนอื่นมาพูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์นั้น มีความรุนแรงและทำร้ายจิตใจคนไทยไม่ใช่น้อย และยังใช้คำว่า “มัน” หลายครั้งเมื่อเอ่ยถึงสถาบันกษัตริย์

 

หากย้อนไปในการบรรยายก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2554 ยิ่งชัดเจนว่านายปิยบุตรต้องการทำให้สถาบันกษัตริย์ “เงียบงัน” ไม่มีบทบาทใดๆ แม้แต่จะปฏิสันถารกับประชาชน โดยเสนอแนวคิดไม่ให้กษัตริย์มีพระราชดำรัสต่อประชาชน และกษัตริย์ต้องสาบานตนต่อนักการเมืองในรัฐสภาว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

นายปิยบุตรเรียนจบกฎหมายฝรั่งเศส และยังมีภรรยาสาวสวยเป็นฝรั่งเศส น่าเชื่อได้ว่าหลงใหลฝรั่งเศสอย่างหนัก โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่าด้วยการโค่นล้มกษัตริย์ที่นายปิยบุตรอาจจะ “ฟิน” เป็นพิเศษ

นายปิยบุตรจะอ้างอย่างไรก็ได้ว่าการพูดของตัวเองปรารถนาดีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย อยากให้ทันสมัย สอดคล้องกับยุคสมัย แต่ลึกๆ แล้วนายปิยบุตรรู้อยู่แก่ใจว่า “เจตนา” แท้ๆ ของตัวเองคืออะไร

คือการไม่ชอบสถาบันกษัตริย์ ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้มีใช่หรือไม่ หรือถ้ามีอยู่แล้วและโค่นไม่ได้ ก็อยาก “แช่แข็ง” ไม่ให้มีบทบาทใดๆ ใช่หรือเปล่า

 

กษัตริย์ของไทยปรับตัวมาทุกยุคสมัย ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่มาได้หลายร้อยปี อย่างสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 ก็ใช้พระปรีชาสามารถในการพาชาติไทยให้รอดเมื่อถูกตะวันตกรุกรานคุกคามมาแล้ว พระปรีชาสูงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอาศัยคำชี้แนะจากนายปิยบุตร

นายปิยบุตร (รวมทั้งผู้สนับสนุน) อ้างว่าคนที่โจมตีเขาต้องการสร้างความเกลียดชัง ใช้สถาบันกษัตริย์มาเล่นงานทางการเมือง แต่ก่อนจะใช้วาทกรรมเช่นนี้ ให้นายปิยบุตรพิจารณาก่อนว่า สิ่งที่ตัวเองพูดหลายๆ ครั้งเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ก็คือการสร้างความเกลียดชัง ต่อต้านสถาบันกษัตริย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใช่ไหม

หากไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง นายปิยบุตรก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะพาดพิงสถาบันกษัตริย์ในลักษณะที่ทำมาแล้ว

คนที่เห็นด้วยกับนายปิยบุตร หรือไม่ชอบสถาบันกษัตริย์ ก็ต้องเห็นดีเห็นงามกับนายปิยบุตร แต่สิ่งหนึ่งที่นายปิยบุตรปฏิเสธไม่ได้ก็คือคนไทยส่วนใหญ่เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ดังที่เห็นแล้วในหลายโอกาสสำคัญ ดังนั้น เมื่อนายปิยบุตรหรือใครก็ตามที่กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ในทางร้าย ประชาชนเหล่านั้นก็มีสิทธิจะตอบโต้นายปิยบุตร

อย่าไปเหมารวมเข้าข้างตัวเองว่าการตอบโต้ของคนเหล่านั้นคือการโหนสถาบันหรือใช้สถาบันโจมตีทางการเมือง เพราะเรื่องนี้นายปิยบุตรต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่เป็นความรู้สึกของปัจเจกบุคคลที่รักเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองใดๆ

การกล่าวหาว่าคนอื่นโหนสถาบันเพราะออกมาตอบโต้นายปิยบุตร ก็ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีเช่นกัน เพราะเท่ากับว่าคุณไม่เคารพ ไม่เชื่อว่าพวกเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

 

หากนายปิยบุตรยังคิดในมุมเดียว คือไม่เชื่อว่าคนที่ออกมาตอบโต้นายปิยบุตร เป็นไปโดยบริสุทธิ์ ก็ยากที่ความขัดแย้งจะจบลง

อย่าชี้นิ้วกล่าวหาคนอื่นว่าสร้างความแตกแยกเกลียดชัง แต่จงพิจารณาตัวเองด้วยว่า แท้จริงแล้วก็คือผู้เริ่มสร้างความแตกแยกเกลียดชังต่างหาก

อย่าใช้ความเป็นนักวิชาการเป็นเกราะกำบังในการฉวยโอกาสดิสเครดิตสถาบันกษัตริย์เพื่อจะได้ไม่มีความผิด เพราะคนไทยจำนวนมากมองเห็นว่าที่ผ่านมาไม่ใช่วิชาการบริสุทธิ์เท่าไหร่ เพราะอิงแอบกับคนเสื้อแดงและเครือข่ายทักษิณมาตลอด

แม้แต่การก่อกำเนิดของคณะนิติราษฎร์ที่มีนายปิยบุตรอยู่ในกลุ่มด้วยก็เริ่มในปี 2549 ซึ่งมีการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ซึ่งหนึ่งในข้อหาที่มีต่อทักษิณก็คือไม่จงรักภักดี มีพฤติการณ์จาบจ้วง ในครั้งนั้นนิติราษฎร์ออกมาเคลื่อนไหวประณามการรัฐประหาร

ในเวลาต่อมาในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ นิติราษฎร์ก็มีการเคลื่อนไหวให้แก้ไขและยกเลิกมาตรา 112

ทุกความเคลื่อนไหวเหล่านี้สาธารณชนมองออกและต่อจิ๊กซอว์ได้ตลอด พอจะมองเห็นได้ว่าไม่ใช่วิชาการบริสุทธิ์เต็มร้อย

พรรคอนาคตใหม่ถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอด “ทักษิณ” อยู่แล้ว ยิ่งมีนายปิยบุตรมาอยู่ในพรรค ก็เสมือนมีวัสดุไวไฟอยู่ในพรรค