‘อาทิตย์ อุไรรัตน์’ แกะดำขุมกำลังพร้อม เตรียมคืนสังเวียนการเมือง?

c8'g=jv

ในประเทศ
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 ก.ค. 59

ชื่อของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา กลับมาอยู่ในกระแสข่าวการเมืองอีกครั้ง หลัง ดร.อาทิตย์ ขยับตัวแสดงท่าทีทางการเมืองในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ปลายเดือนเมษายนโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กทวงถามการปฏิรูปจาก คสช. ด้วยประโยคที่ว่า “ทุกคนรอคอยการปฏิรูปอยู่ ไม่มีใครต้องการเลือกตั้ง”

จากนั้น เดือน พฤษภาคมเปิดตัวหนังสือประวัติส่วนตัว “แกะดำโลกสวย”

และปลายเดือนเดียวกัน โพสต์ถามเรื่อง การปฏิรูปตำรวจและการซื้อขายตำแหน่งตำรวจจนเป็นเรื่องใหญ่ทำเอาผู้ใหญ่ใน คสช. ของขึ้น

จนมาถึงการเปิดตัว สมัชชาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ในเดือนมิถุนายน

จังหวะก้าว ของ ดร.อาทิตย์ ดูจะได้รับการจับตามองว่า ต้องการจะสร้างให้ตนเอง เป็นแกะดำ โดดเด่นจากฝูงแกะในแวดวงการเมืองหรือไม่

“ไม่ครับ ไม่ครับ ผมไม่กลับไปเล่นการเมืองอีกแล้ว พอแล้ว ผ่านมาหมดทุกแบบแล้ว มันถึงเวลาพอแล้ว แต่ว่าการพอของผมเรายังเป็นพลเมืองของไทยอยู่ เราก็ยังรักบ้านเมืองอยากเห็นบ้านเมืองเจริญไปในทางที่ดีสงบสันติสุข ดังนั้น ไม่ได้ทำเพื่อชี้ว่าจะมาเล่นการเมืองอีก” คำตอบจาก ดร.อาทิตย์ เมื่อนักข่าวถามถึงโอกาสท่าจะกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง

ส่วนจังหวะก้าวที่แสนจะลงตัวที่เกริ่นไว้ข้างต้น ดร.อาทิตย์ ยืนยันว่า “ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ เป็นความบังเอิญมากกว่า เรื่องเปิดตัวหนังสือฝ่ายผู้เขียนเขาก็มาเปิดตัวตอนวันเกิดของผมพอดี เรื่องอะไรต่ออะไรมันก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ เป็นเหตุบังเอิญที่มาเกิดขึ้นพร้อมกัน”

ดร.อาทิตย์ พูดถึงบทบาทด้านการศึกษาในฐานะอธิการบดี ม.รังสิต ในเวลานี้ว่า

“บทบาทตอนนี้ก็ไม่ต่างกันกับตอนเล่นการเมือง การศึกษาเป็นการทำงานเพื่อความเข้มแข็งของบ้านเมืองเป็นหลัก ตอนทำงานการเมืองก็คิดว่าจะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็งเป็นหลัก ดังนั้น เป้าหมายตอนทำงานการเมืองกับการทำงานด้านการศึกษาตอนนี้จึงไม่ต่างกัน”

“ผมไม่ได้มองการเมืองเป็นการแสวงหาอำนาจหรือหาโอกาส มองการเมืองเป็นงานที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก”

เด็กชายศฤงคาร ชื่อเล่นคือ ปู๊ด ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น เด็กชายอาทิตย์ เมื่อวัย 7 ขวบ โดยคำแนะนำของนายทหารที่ชำนาญด้านโหราศาสตร์ มีความฝันวัยเด็กอยากเป็นเอกอัครราชทูต จบรัฐศาสตรบัณฑิต จากรั้วจามจุรี ก่อนจะสอบได้ทุน ก.พ. แจ้งเกิดด้วยการโต้วาทีกับ นายสมัคร สุนทรเวช ผ่านรายการโทรทัศน์ ซึ่งสมัยนั้น ดร.อาทิตย์ เป็นหัวหน้ากองวิชาการ สำนักงาน ก.พ.

แต่จุดสูงสุดที่หลายคนจำได้คือเมื่อครั้งเป็นประธานรัฐสภา และทำการเสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 แทนที่จะเป็น พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ เป็นที่มาของตำนานชุดขาวรอเก้อ และ ดร.อาทิตย์ ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนในเวลานั้นว่า “วีรบุรุษประชาธิปไตย”

เมื่อถามว่าอะไรคือความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตการเมือง ดร.อาทิตย์ ไม่ได้ตอบว่าการทำหน้าที่ประธานรัฐสภาในช่วงเวลานั้นตามที่นักข่าวคาดหวัง แต่กลับบอกข้อมูลอีกด้านว่า

“ในช่วงเวลานั้นไม่มีใครอยากจะเป็นประธานรัฐสภา ทุกคนแย่งเป็นรัฐมนตรีหมดแล้วเขาไม่รู้จะเอาผมไปไว้ไหน แต่เขาข้ามผมไปไม่ได้เพราะเขาก็รู้ว่ามันต้องมีผมอยู่ตรงนั้นด้วยคนหนึ่ง เขาก็เลยเตะผมขึ้นหิ้ง แต่เมื่อขึ้นหิ้งแล้วก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อมาจำเป็นต้องตัดสินใจช่วงวิกฤติช่วงนั้นเราก็ต้องตัดสินใจเพื่อให้บ้านเมืองได้ประโยชน์ที่สุด ทุกช่วงที่เข้าไป ผมไม่ได้วางตัวเองเข้าไปว่าอยากจะไปตรงนั้นตรงนี้ แต่เข้าไปโดยมีคนขอร้องมองเห็นว่าช่วยไปทำตรงนั้นช่วยไปทำตรงนี้มากกว่า”

ดร.อาทิตย์ เล่าย้อนความหลังให้ฟังถึงการเมืองในยุคสมัยที่เคยเข้าไปคลุกคลีว่า

“เมื่อตอนแรกๆ ในสมัยเข้ามาการเมือง ผมต้องลงแข่งเลือกตั้ง แต่เป็นการลงแข่งด้วยความรัก ยกตัวอย่าง ผมต้องลงแข่งกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งท่านเป็นทั้งอาจารย์ผม เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผมก็กราบท่านทุกที่เมื่อเดินสวนกันหรือเจอกัน เป็นการแข่งกันที่มีความรู้สึกว่าพร้อมที่จะไม่ได้ แต่ว่าเป้าหมายของเราไม่ใช่ว่าจะแข่งกันเพื่อได้หรือไม่ได้ แต่แข่งกันเพื่อให้ประชาชนได้เลือกในทิศทางที่ต้องการมากกว่า”

“ความรู้สึกทางการเมือง มันเป็นลักษณะแบบนั้น มันอาจจะไม่ดีที่สุด แต่ผมคิดว่ามันดีที่สุด ต่างจากช่วงหลังๆ ซึ่งผมคิดว่าการเมืองมันเปลี่ยนไป แม้กระทั่งการเลือกตั้งซึ่งหลังๆ มีความรุนแรง มีการยิงกันฆ่ากัน ซึ่งรู้สึกว่าไม่ดี”

ในแวดวงการเมือง ชั่วโมงนี้ จับตา ชายวัย 78 ปี ผู้นี้พอสมควร ด้วยคอนเน็กชั่นที่เพียบพร้อม ดูได้จากบรรยากาศงานเปิดตัวหนังสือ “แกะดำโลกสวย” หนังสือที่รวบรวมอัตชีวประวัติของ ดร.อาทิตย์ มีแขกคนสำคัญไปร่วมยินดี อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี, นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์), นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายพินิจ จารุสมบัติ เป็นต้น แค่ดูรายชื่อก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา

ถ้ามีเหตุใดเหตุหนึ่งให้ต้องมารับใช้บ้านเมืองอีก จะเข้ามาหรือไม่ ดร.อาทิตย์ บอกยังไม่ทราบว่าจะมีเหตุอะไร แต่ถ้าจะให้มาตั้งพรรคการเมืองยืนยันว่าไม่เอาแล้ว แต่การเข้ามาทำงานการเมืองในชีวิตทุกครั้งที่ผ่านมาก็เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ เพราะการเล่นการเมือง ไม่ได้ต้องการแสวงหาอะไร แต่ช่วงนั้นผมยังอยู่ในการเมืองก็ถูกดึงให้ไปรับหน้าที่นั้นบ้างตำแหน่งนั้นบ้าง แต่ถามว่าตอนนี้จะเล่นการเมืองไหม ผมบอกว่าผมไม่เล่น ส่วนการตั้งสมัชชาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ยืนยัน เจตนาว่าเรารู้ว่านี่คือทางออกของประเทศ และเป็นความต้องการของประเทศ และเราเชื่อว่าประชาชนไม่ว่าฝ่ายไหนต้องการการปฏิรูปทั้งสิ้น นั่นคือความเชื่อมั่นจริงๆ ยืนยันไม่ได้ต้องการจะเล่นการเมือง

สำหรับทางออกของความขัดแย้ง ดร.อาทิตย์ มองว่า “ต้องไม่ใช่ฝ่ายที่ปรองดองกันไม่ได้เข้ากันไม่ได้มาเจรจากัน ผมว่าทางออกที่ถูกต้องคือหาทางที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ส่วนตัวเชื่อว่ากลุ่มคนที่มีปัญหาขัดแย้งไม่ใช่คนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่การซุกปัญหาไว้ใต้พรม แต่ให้ว่ากันไปตามถูกตามผิด โปร่งใส เปิดเผย ผมเชื่อว่ายังมีทางออก ตราบใดที่ฝ่ายที่จะมาจัดการไม่เป็นฝ่ายที่มีอะไรแอบแฝงหรือมีอคติอยู่ในใจ เพราะถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่เป็นกลางจริง มันก็แค่จะพยายามชนะให้ได้ หรือพยายามทำลายอีกฝ่ายให้ได้”

อย่างไรก็ตาม ตลอดการสัมภาษณ์ ดร.อาทิตย์ จะปฏิเสธทุกครั้งที่นักข่าว พยายามถามย้ำในประเด็นการกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง

แต่ก็เป็นการปฏิเสธแบบคนโลกสวยตามสไตล์ ดร.อาทิตย์ คือไม่ได้ตัดเยื่อใยเสียทีเดียว แต่ยังเปิดช่องหากบ้านเมืองเกิดสถานการณ์จำเป็น

และหากเกิดเหตุการณ์จำเป็นใดๆ ขึ้นจริง ก็ดูเหมือนว่าขุมกำลังของ ดร.อาทิตย์ ชั่วโมงนี้พร้อมที่สุดคนหนึ่ง