เจาะกลยุทธ์ ‘บิ๊กแดง’ ทำสงครามโซเชียล กรุยทาง ‘บิ๊กตู่’ กลางกระแสความไม่แน่นอน กับศึกของ ‘บิ๊กโจ๊ก’ แม่ทัพโซเชียล คสช.

เจาะกลยุทธ์ ‘บิ๊กแดง’ทำสงครามโซเชียลกรุยทาง ‘บิ๊กตู่’

กลางกระแสความไม่แน่นอน

กับศึกของ ‘บิ๊กโจ๊ก’แม่ทัพโซเชียล คสช.

ต่อให้ Strong แข็งแกร่งแค่ไหน หรือปากจะบอกว่า “ไม่เป็นไร โดนมาเยอะแล้ว” ก็ตาม แต่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ก็ต้องการกำลังใจ

เรียกได้ว่าเจอหนักๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่ ตั้งโพเดียมแถลงอัด “ซ้ายจัด” อย่าดัดจริต คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

หรือย้อนหลังไปตอนที่วิวาทะกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีต ผบ.ตร. หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย จนถึงขั้นต้องเรียกพลตบเท้า ปฏิญาณตนแสดงพลังต่อหน้า “ร.5” ใน บก.ทบ.มาแล้ว

แม้แต่การไล่ให้นักการเมืองไปฟัง “เพลงหนักแผ่นดิน” ที่ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์กลายเป็น ผบ.ทบ.ที่ถูกฝ่ายต่อต้าน คสช. และพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง และกลุ่มการเมืองต่างๆ รุมถล่ม

แต่ในขณะเดียวกัน พล.อ.อภิรัชต์ก็มีแฟนคลับ มีกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อย ที่ส่วนหนึ่งก็เป็นมวลชน กปปส.หรือเสื้อเหลืองเดิม และคนรักทหาร

ในส่วนนายทหารใน ทบ. มีการติดแฮชแท็ก #saveapirat #supportapirat #ทีมแดง เพื่อให้กำลังใจ พล.อ.อภิรัชต์

พร้อมกับแชร์ภาพและกราฟิกที่เป็นข้อความภาษาไทยและอังกฤษ ที่เป็นวลี หรือม็อตโต้ทางการทหาร และลักษณะของผู้นำทางทหารกันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งในเฟซบุ๊กของหน่วยต่างๆ ใน ทบ. คสช. และ กอ.รมน.ด้วย

โดยล้วนเป็นข้อความที่ พล.อ.อภิรัชต์ชื่นชอบ โดนใจ และหลายข้อความเป็นคติประจำใจของ พล.อ.อภิรัชต์อยู่แล้ว

เพราะมีรายงานว่า เมื่อพอมีเวลา พล.อ.อภิรัชต์จะชอบเข้าไปอ่านใน Motivation Website ที่จะมีวลี คำกล่าว หรือ Quote สำคัญที่เป็นสากล

รวมทั้งมีเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ที่ชื่อว่า “บิ๊กแดงแฟนเพจ” ที่เพิ่งมีขึ้นเมื่อ พล.อ.อภิรัชต์ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.

แต่ พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า ไม่ใช่ทีมงานของตนเองทำ และไม่รู้ด้วยว่าใครทำ แต่ได้ข่าวว่าเป็นแฟนคลับในพื้นที่ภาคใต้

“ผมไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มี ig ไม่เล่นโซเชียล แต่อาศัยของคนอื่นเข้าไปดูในโซเชียล” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

แต่ก่อนหน้านี้ พล.อ.อภิรัชต์ให้เหตุผลว่าที่ต้องเข้าไปอ่านในโซเชียลเพราะต้องตามไปดู “ดร.อ้อ กฤษติกา คงสมพงษ์” ภริยาที่อยู่ในโซเชียล

เหตุเพราะภริยาเป็นสาวสังคม เป็นคนดัง แถมทั้งหมอเพลิน ร.อ.หญิง แพทย์หญิงอมรัชต์ คงสมพงษ์ ลูกสาวคนเดียว ก็เล่นโซเชียล ทั้งเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม

 

แม้จะยอมรับว่า โซเชียลเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพ มีประสิทธิภาพมากกว่าอาวุธใดๆ ที่กองทัพบกมีอยู่

แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็แค่เข้าไปเปิดอ่าน และสแกนดูกระแสในประเด็นต่างๆ ของทุกฝ่าย

เพราะปกติแล้ว พล.อ.อภิรัชต์จะชอบอ่านข่าวทางทวิตเตอร์มากกว่า และดูเหมือนจะเป็นโซเชียลช่องทางเดียวที่ พล.อ.อภิรัชต์มีแอ็กเคาต์เป็นของตนเอง แต่ไม่เปิดเผย

“ยอมรับว่ากองทัพมีจุดอ่อนเรื่องการใช้โซเชียล” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์พยายามสรรหานายทหารทั้งชายและหญิง ที่จะมาเป็นโฆษกกองทัพบก หรือเป็นแม่ทัพศึกโซเชียล แต่ก็ยังหาใครไม่ได้ ที่จะมาเสริม เสธ.ต๊อด พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ.และโฆษก คสช. และผู้พันนิ่ม พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. และรองโฆษก คสช.

“เพราะถ้าเจอคนที่เป็นโฆษกกองทัพ คนที่ไม่ชอบทหาร ก็จะไม่ฟัง จะเปลี่ยนช่อง หรือปิดทีวี จึงไม่มีทางที่เราจะคุยกับเขาได้” บิ๊กแดงระบุ

แม้ว่าโดยสายงานแล้ว กรมยุทธการทหารบก (ยก.ทบ.) จะรับหน้าที่ในการวางแผนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือที่รู้จักกันว่า I.O.-Information Operations

ขณะที่กรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.) และศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก สำนักงานเลขานุการ ทบ. ก็ทำงานด้านงานประชาสัมพันธ์และงานมวลชน

แต่ พล.อ.อภิรัชต์มองว่า การทำศึกโซเชียลหรือสงครามไซเบอร์นั้น ไม่อาจใช้ช่องทางทางการทหารที่มีอยู่

แต่ต้องมีการคิดนอกกรอบ

จนมีรายงานว่า พล.อ.อภิรัชต์เล็งพิธีกรคนดังไว้หลายคน โดยเฉพาะคนที่เป็น influencer ที่มีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ เพราะถึงขั้นที่ระบุว่า ตอนนี้กองทัพกับนิสิตนักศึกษา คนรุ่นใหม่ พูดกันคนละภาษา มีช่องว่างในการสื่อสาร โดยที่การสื่อสารของกองทัพนั้น ก็ไม่ใช่ภาษาที่นิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่อยากจะฟัง

พล.อ.อภิรัชต์จึงมีแผนที่จะเดินสายพูดคุยกับพิธีกรที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ โดยพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ โดยไม่ได้คาดหวังว่าพิธีกรคนดังๆ เหล่านั้นหันมาสนับสนุนทหาร

แต่อย่างน้อย พล.อ.อภิรัชต์ก็อยากให้เข้าใจทหาร และเข้าใจในข้อเท็จจริงต่างๆ และพร้อมตอบทุกคำถามที่ข้องใจ แต่ไม่ออกสื่อ ไม่ได้เป็นการให้สัมภาษณ์

พล.อ.อภิรัชต์ยอมรับว่า ชื่นชอบพิธีกรหลายคน ที่แม้จะวิพากษ์วิจารณ์ทหาร แต่ก็ชอบ และอยากจะพูดคุยด้วย แบบไม่เป็นทางการ และไม่ต้องกลัว เพราะจะคุยแบบพี่น้อง คุยแบบเงียบๆ เพราะสไตล์บิ๊กแดงนั้น ไปไหนมาไหนคนเดียว มีแค่คนขับรถเท่านั้น ลงรถได้ก็เดินดุ่ยๆ คนเดียว เข้าที่หมาย โดยที่คนขับรถไม่ต้องตามมาด้วยซ้ำ

ในการแถลงข่าวครั้งล่าสุด จะเห็นได้ชัดว่า พล.อ.อภิรัชต์เอ่ยถึงนิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่ตลอด

เพราะรู้ว่า เมื่อมีช่องว่าง และคุยคนละภาษา จึงทำให้บรรดาคนรุ่นใหม่เหล่านี้กลายเป็นมวลชนผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค จนทำให้ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาอย่างเกินคาด

เพราะแม้แต่หน่วยเลือกตั้งในพื้นที่หน่วยทหาร ที่มีพลทหารและกำลังพล และครอบครัวมาใช้สิทธิ์นั้น ก็ยังมีแบ่งคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่ ด้วย ไม่ได้เทให้พรรคพลังประชารัฐพรรคเดียว

พล.อ.อภิรัชต์จึงต้องมีการปรับแผน และเล็งเป้าหมายไปที่นิสิตนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ โดยจะไม่ผลักไสให้ไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่ง

เรียกได้ว่า นั่นเป็นอีกกลยุทธ์ในการทำสงครามโซเชียลอย่างหนึ่งของบิ๊กแดง

 

ไม่แค่นั้น ยังเปิดแนวรบด้านสื่อต่างประเทศ พล.อ.อภิรัชต์ได้เชิญผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศที่ประจำในประเทศไทย มาพบปะพูดคุยและแถลงข่าว ก็เพื่อที่จะขอพื้นที่ข่าว

โดยที่ พล.อ.อภิรัชต์สามารถพูดภาษาอังกฤษกับนักข่าวต่างประเทศได้ หลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลายสำนัก โจมตีการเลือกตั้งและ คสช.

อีกทั้งที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์ก็ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์สำนักข่าวต่างประเทศ เช่น เอเอฟพี และสเตรตไทม์ส

โดยเปิดช่องทางให้สื่อต่างประเทศเข้าถึงได้ทางโทรศัพท์มือถือ

ถือว่าเป็นอีกความพยายามหนึ่งของ พล.อ.อภิรัชต์ในการสู้ศึกทางการเมือง เคียงข้างบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกแรงหนึ่ง

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนขึ้นๆ และไม่มีอะไรแน่นอน และเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ

แม้แต่กรณีของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ถึงขั้นที่โดนย้ายจาก ผบ.สตม. เข้ากรุ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สะเทือนรัฐบาล คสช.ไม่น้อย

เพราะเป็นนายตำรวจคนดังที่เป็นลูกเลิฟ ทำงานให้บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ คสช.มานาน

ท่ามกลางกระแสข่าวลือมากมาย

จนทำให้ พล.อ.ประวิตรลาประชุมคณะรัฐมนตรี และยกเลิกการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ด้วยการลาป่วย ปวดท้อง ท้องเสีย และมีไข้

แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นการหลบฉาก หลบกระแสจากเรื่องบิ๊กโจ๊ก

แต่ที่สุด บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก็ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ให้โอนย้ายจากข้าราชการตำรวจมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง บิ๊กโจ๊กก็ปรากฏตัวที่ทำเนียบ มารายงานตัวกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ สยบข่าวลือการถูกควบคุมตัว

หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากตำรวจมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ เพื่อผ่อนหนักเป็นเบา

กล่าวกันว่า เรื่องบิ๊กโจ๊ก ยังมีภาคต่ออีกหลายภาค และสะท้อนปัญหาที่ซับซ้อนทั้งในวงการตำรวจและการเมืองยุคเปลี่ยนผ่าน

 

ท่ามกลางความไม่แน่นอน จากที่เชื่อกันว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์จะได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหนึ่งนั้น

หากเกิดสถานการณ์วุ่นวายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ 9 พฤษภาคมนี้

รวมถึงการที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โดนดำเนินคดีความมั่นคง และต้องขึ้นศาลทหารจนมีการปลุกกระแสต่อต้านศาลทหาร โดยเฉพาะเมื่อหากต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำทหาร

รวมถึงการดำเนินคดีกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่

การให้ใบแดงใบเหลือง การทำให้จำนวน ส.ส.ของฝ่ายพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ลดจำนวนลง ที่อาจนำมาซึ่งความวุ่นวาย

ประกอบด้วยอีกหลายเหตุผลในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ

กระแสข่าวรัฐบาลแห่งชาติรัฐบาลพิเศษ นายกฯ พิเศษ จึงยังคงสะพัด

โดยเฉพาะมีชื่อองคมนตรีถึง 3 คนที่ถูกพูดถึงในฐานะคนดีและคนเก่ง ทั้ง ดร.กบ นายอำพน กิตติอำพน บิ๊กต๊อก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา และบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาสยบกระแสข่าวลือ

“รัฐบาลแห่งชาติ มันใช่หรือไม่ จะไปได้อย่างไร ยังไม่รู้เลย กฎหมาย รัฐธรรมนูญ เขาเขียนว่าอย่างไร กฎหมายเลือกตั้งว่าอย่างไร รัฐบาลจะมาจากไหน อะไรต่างๆ ขั้นตอนยังไม่จบ

ฉะนั้น ต้องไปดูว่าวัตถุประสงค์ของการออกมาพูดเพื่อต้องการอะไร ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ใครที่จะนึกอยากกำหนดกติกาขึ้นมาใหม่ อะไรก็ได้ มันคงไม่ได้ทั้งหมด ต้องดูกฎหมาย ทำความเข้าใจกับกฎหมายให้ดี” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุคนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ!!