คำ ผกา | ยิ่งกดก็ยิ่งเกิด

คำ ผกา

ฉันเขียนคอลัมน์ชิ้นนี้ในวันที่ 22 มีนาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 2 วัน และเป็นวันที่มีเวทีปราศรัยใหญ่ของทุกพรรค นั่นแปลว่าในวันที่ผู้อ่านอ่านคอลัมน์ชิ้นนี้ การเลือกตั้งก็เสร็จสิ้นแล้ว มีการนับคะแนนรู้ผลกันคร่าวๆ แล้ว และตัวฉันเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ฉันอยากรวบรวมความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย (ในสายตาของฉัน) ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น

โดยสันนิษฐานว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ใช่ข่าวดีของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

เมื่อมีการรัฐประหารของ คสช.ในปี 2557 นั้น เราคงยังจำได้กันว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เราไม่รู้ชะตากรรมของแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายๆ คนที่เข้าไประชุมกับผู้นำกองทัพที่สโมรสรกองทัพบกก่อนเกิดการรัฐประหาร

หลังจากนั้นเป็นเรื่องของการเรียกคนเข้าไป “ปรับทัศนคติ”

หลังจากนั้นมีคนถูกดำเนินคดีในศาลทหาร

บางภาพที่เราอาจจะพอจำได้คือ ภาพคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ถูกจับก่อนขึ้นเวทีที่ FCCT หรือภาพหนูหริ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์ ถูกจับก่อนจะมีการอายัดบัญชี และอื่นๆ

และอื่นๆ อันเราปฏิเสธไม่ได้ว่า ในห้วงเวลานั้นมีความกลัวเป็นม่านหมอกปกคลุมสังคมไทยไปทั่ว

ด้วยมาตรา 44 ทำให้ทุกย่างก้าวของทุกภาคส่วนในสังคมต้องค่อยๆ ก้าวย่าง ดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง หลายคนอาจจะรู้สึกเหมือนนักกายกรรมที่ต้องเดินไปถนนที่โรยตะปูไว้ และเราต้องเรียนรู้ว่าจะเดินอย่างไรให้เจ็บตัวน้อยที่สุด

แกนนำเสื้อแดง นักเคลื่อนไหว แอ๊กติวิสต์ จำนวนไม่น้อยตัดสินใจไปลี้ภัยในต่างประเทศ และหลายคนตัดสินใจยุติบทบาททางการเมือง

และแน่นอนว่า ในเวลานั้นสังคมไทยเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า “นักโทษการเมือง”

รัฐประหารปี 2557 นั้นไม่เหมือนปี 2549 เพราะรัฐประหารปี 2549 ถูกมองว่าเป็นการรัฐประหารที่ “เสียของ” ไม่สะเด็ดน้ำ ล้อมปราบเสื้อแดงกันไปขนาดนั้น ตายขนาดนั้น ติดคุกขนาดนั้น ยุบพรรคไปแล้วก็ยุบอีก นายกฯ ทั้งสมัคร สุนทรเวช, ทั้งสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไปไม่รอด สุดท้ายเมื่อจัดการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยยังกลับมาชนะ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวทักษิณ ยังกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกพร้อมอภิมหาโปรเจ็กต์ที่ได้ใจคนมหาศาลอย่างรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ เรื่อง connectivity ของการคมนาคม

ไม่ต้องพูดถึงนโยบายจำนำข้าวที่ได้ใจชาวนาไปเต็มๆ (เถียงกันได้ว่านโยบายดีหรือไม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้พรรคได้รับคะแนนนิยมแน่นอน ซึ่งพรรคการเมืองก็มีหน้าที่นั้นคือ สร้างฐานเสียง สร้างคะแนน)

สารภาพว่าเขียนอย่างลำเอียง สำหรับฉันขณะนั้นประเทศไทยมีนายกฯ ที่สง่างาม ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศก็ลุ้นว่าเราจะประคับประคองให้ประชาธิปไตยอยู่กับเราได้นานแค่ไหน

แน่นอนทุกรัฐบาลย่อมมีปัญหา มีความฉ้อฉล มีความไม่โปร่งใส มีการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด

ถามว่า มีรัฐบาลไหนที่ดีไม่มีที่ติ – แต่นี่คือกระบวนการประชาธิปไตยในรัฐสภา ไม่พอใจเรื่องอะไร เจอคอร์รัปชั่น เจอการฉ้อฉล ก็ยืนอภิปราย สื่อก็ต้องทำหน้าที่ขุดคุ้ยหาความจริง จะบอกว่าโครงการน้ำ โครงการจำนำข้าว การแก้ปัญหาน้ำท่วมมีปัญหา การเยียวยาผู้สูญเสียจากการชุมนุมทางการเมืองมีปัญหา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมีปัญหา เหล่านี้ควรทำให้รัฐบาลต้องยุบสภา หรือลาออกตามวิถีทางรัฐสภา

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเป็นการรัฐประหารในปี 2557 ที่ปัญญาชน ผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยบอกว่า ถ้ารัฐบาลไม่เลว ก็ไม่มีหรอกรัฐประหาร

ตรรกะแบบนี้ ไม่ต่างอะไรจากการบอกว่า ถ้าไม่แต่งตัวโป๊ ไม่ไปเดินในซอยเปลี่ยวก็ไม่ถูกข่มขืนหรอก ทำตัวเองช่วยไม่ได้

แต่จริงๆ แล้วการรัฐประหารทั้งสองครั้งเกิดขึ้นด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ ไม่อยากเห็นเครือข่ายทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก

พรรคการเมืองบางพรรคไม่มีปัญญาเอาชนะในการเลือกตั้งก็ฝันว่าการรัฐประหารจะทำให้พรรคที่ลงเลือกตั้งทีไรก็ชนะทุกทีนั้นสูญพันธุ์ไปเสียให้พ้น พรรคนี้สูญพันธุ์เมื่อไหร่ เรามีโอกาสชนะการเลือกตั้งแน่นอน

เมื่อตั้งเป้าว่าจะไม่ให้เสียของ รัฐบาล คสช. จึงต้องรอบคอบ รัดกุม ไม่รีบร้อนลงจากอำนาจ ไม่รีบร้อนเลือกตั้ง เพราะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ คือภารกิจว่าด้วยการหยุด “ระบอบทักษิณ”

ตั้งแต่การออกกฎหมาย การตั้งกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ แม้กระทั่งองค์กรอย่างคณะกรรมการสิทธิฯ ยังเป็นสิทธิฯ แบบกำมะลอบ้อท่า

การร่างรัฐธรรมนูญและการออกแบบระบบเลือกตั้งที่มหัศจรรย์พันลึก อันเรียกว่า ระบบการจัดสรรปันส่วนผสม ที่ทำให้คนตกคณิตศาสตร์อย่างฉันไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลยในระบบเลือกตั้งอันนี้

การมียุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี การมี ส.ว.จากการสรรหา 250 คน ที่ถูกเอาไปทำให้เป็นเรื่องขำว่า นายกฯ ตั้งรองนายกฯ ให้เลือก ส.ว. เพื่อให้ ส.ว.มาโหวตให้นายกฯ ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ กลับมาเป็นนายกฯ

กว่าจะออกแบบทุกอย่างให้รัดกุม รอบคอบ ไปจนถึงการสรรหากรรมการ กกต. อะไรเรียบร้อย จนพร้อมจะมีการเลือก เวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก

ไม่เพียงแต่กติกาพร้อม การ “ไม่เสียของ” นี้ยังแปลว่าแม้จะมีการเลือกตั้งแต่อย่าหวังว่าจะมีประชาธิปไตย การเลือกตั้งนั้นมีไว้เพื่อให้อำนาจของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารมีอำนาจต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยปราศจากข้อครหา กติกาพร้อมขนาดนี้จะรออะไร ก็ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเสียพรรคหนึ่งเพื่อส่ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่มีอะไรยากเลย

โลกตะวันตก อียีงอียู ญี่ปุ่น อะไรที่บอกว่าจะไม่คุยกับรัฐบาลทหารก็อ้างไม่ได้แล้ว เพราะนี่คือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลที่มาตามวิถีทางประชาธิปไตย

อะไรๆ มันควรจะราบรื่นใช่ไหม กติกาก็ของเรา องค์กรอิสระเราก็คุม ส.ว.เราตั้งเองเราก็ต้องคุมได้ พรรคพลังประชารัฐก็ถึงพร้อมด้วยสรรพกำลัง บุคลากร ขนาดเอารัฐมนตรีไปเป็นกรรมการบริหารพรรค และนายกฯ ก็ลงพื้นที่พบปะประชาชนคู่ขนานกับเวทีหาเสียงพรรคพลังประชารัฐ งบประมาณต่างๆ ก็ยังอนุมัติกันได้ตลอด

ไม่ชนะการเลือกตั้งคราวนี้แล้วจะชนะคราวไหน ลงพื้นที่ทีไร คนก็มาต้อนรับเป็นหมื่นๆ

แต่ชีวิตจริงไม่ใช่นิยายที่นักเขียนคุมพล็อตและเส้นเรื่องไว้ทั้งหมด จะเขียนชะตากรรมของตัวละครไว้อย่างไรก็ได้ พล็อตและโรดแม็ปของการสืบทอดอำนาจก็เช่นกัน แม้จะมีการออกแบบกติกาให้พิสดารขนาดไหน อะไรๆ ก็กลับไม่เป็นไปตามพล็อตที่วางเอาไว้

ทันใดที่ปลดล็อกกฎหมายเลือกตั้งและพรรคการเมืองและนักการเมืองหาเสียงได้เท่านั้นแหละ พลังทางการเมืองจากทุกองคาพยพก็ฟื้นจากการหลับใหล เหมือนดอกไม้ที่นอนหลับอยู่ใต้หิมะมาตลอดฤดูหนาวแล้วเจอแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ

การเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมอันพิสดารที่หวังจะทำลายคะแนนเสียงของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ กลับกระตุ้นให้เกิดพรรคเล็ก พรรคใหม่ขึ้นมาหลายพรรค

และอย่างไม่น่าเชื่อที่พรรคการเมืองน้องใหม่อย่างอนาคตใหม่กลับโด่งดังเปรี้ยงปร้าง สร้างปรากฏการณ์ อนาคตใหม่ฟีเวอร์ ธนาธรฟีเวอร์ในกลุ่มคนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง

พลันที่คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศ “หยุดรัฐประหาร” แทนที่สังคมจะเกลียดชังก่นด่า กลับตอบรับในเชิงบวกอย่างท่วมท้น ด้วยกลิ่นอายแบบนี้ทำให้พรรคการเมืองทุกพรรค ยกเว้นพลังประชารัฐและรวมพลังประชาชาติไทย แม้แต่ประชาธิปัตย์ก็ต้องออกมาอ้อมแอ้มบอกว่า – เอิ่ม คือ เราก็ไม่เอาเผด็จการเหมือนกันจ้ะ เราเชิดชูประชาธิปไตยจ้ะ

ส่วนพรรคที่ทำลายล้างจากการรัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างเพื่อไทยก็ยิ่งสามารถสื่อสารจุดยืนขับไล่เผด็จการ สร้างประชาธิปไตย หัวใจเป็นประชาชนได้อย่างหนักแน่น รุนแรง หนักหน่วงยิ่งขึ้น

หรือจะไม่พูดเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง พลันที่ตลาดเสรีในนามของการเลือกตั้งเปิดออกมา ในโมงยามนี้ทุกคนคือคู่แข่ง การโจมตี ขุดคุ้ย ด่าทอ และความดุเดือดเชิงโวหารของนักการเมืองจากทุกพรรคก็ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้นแม้แต่หัวหน้า คสช. เมื่อกลายมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ปุ๊บ ก็ต้องโดนถล่มเละตุ้มเป๊ะ แม้จากฝ่ายที่เคยเป็นพันธมิตรกัน หรือแม้แต่ฝ่ายที่กอดคอเป่านกหวีดมาด้วยกันอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เกิดการทวงบุญคุณกันอย่างเจ็บแสบว่า ไม่มีผม มันก็ไม่มีปัญญาได้เป็นนายกฯ

นี่ยังไม่นับเสรีพิศุทธ์ที่ออกมาด่ารัฐบาล คสช. ชนิดที่ไม่มีหน้าให้ไว้

ส่วนประชาชนนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนใหญ่งอมพระรามจากพิษเศรษฐกิจ และคนไทยก็มาไกลเกินกว่าจะยินดีกับบัตรคนจน เพราะเขาต้องการความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสในการทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัว การยื่นบัตรคนจน หรือนโยบายเติมเงินต่างๆ จึงไม่อาจสร้างคะแนนนิยมใดๆ ขึ้นมาได้เลย

ลองคิดดู คนเขาผ่านการบริหารกองทุนหมู่บ้านละล้านมาแล้ว เคยซื้อบ้านเอื้ออาทรหลังละหลายแสนมาแล้ว คนไทยจำนวนมากผ่านประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการเล็กๆ เคยจดจำว่าเราสามารถสร้างโอท็อปไทยไปขายทั่วโลก อยู่ๆ จะไปลดเกรดให้เขาเป็นบัตรคนจน แต่ถามว่าเอาเงินมาให้ไหม -เอา- แต่ถามว่าได้ใจไหม ไม่ได้

คีย์แมนคนสำคัญในรัฐบาลมีใครที่ประชาชนรู้จัก จดจำผลงานบ้างในรัฐบาลชุดนี้?

รัฐมนตรีร้อยละแปดสิบของรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม

สุดท้ายสังคมจำได้แค่ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร จำ พล.อ.ประยุทธ์ได้ในเรื่องแปลก หรือคำพูดแปลกที่กลายเป็นมุมของท่าน ส่วน พล.อ.ประวิตรก็มียี่ห้อ “นาฬิกา” เป็นที่จดจำ

จำได้อีกคนคือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่บอกว่าคนจนจะหมดประเทศและความกร่างฉลาดเฉลียวแบบที่ฟังทีไรก็เลิกคิ้วทุกที

ส่วนฉันก็จำคุณกอบศักดิ์ ฟูตระกูล ได้ เพราะชอบทำกิจกรรมมุ้งมิ้ง เช่น บีเอ็นเค หรือแคมเปญ โอตะโอตู่

นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องการดูด ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ นปช.เก่ามาเข้าพรรคพลังประชารัฐ จนแม้แต่คนในพรรคพลังประชารัฐสายนกหวีดก็มองบน แล้วบอกว่าไม่หายใจร่วม นี่มันคนละชั้น คนละเกรด ไม่อยากแปดเปื้อนจากนักการเมืองสกปรกเหล่านี้เลย

ให้ตายเถอะ ในเฟซบุ๊กนกหวีดเขาถึงกับปลอบใจกันว่า เอาน่า เราต้องมีเหี้ยไปทำหน้าที่เหี้ยเพื่อให้เราชนะบ้าง อะไรทำนองนั้น

ความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ต้องบันทึกเอาไว้คือ new voter เกือบ 7 ล้านคน ไม่ซื้อวาทกรรม “ระบอบทักษิณ” (ไม่นับฝ่ายที่สนับสนุนประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี 2549 ที่ไม่ซื้ออยู่แล้ว) แต่สิ่งที่เขาซื้อคือประเทศเป็นของเขาและเขาขอกำหนดอนาคตนั้นด้วยตนเอง พวกเขาที่จะต้องมีชีวิตต่อไปในประเทศนี้อีกยาวนานเพราะเขาเพิ่งจะเกิด ทำไมคนแก่ที่อีกไม่นานก็ลงโลงต้องมาคิดแทนเขา เหล่านี้กลายเป็นพลังที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้กลายเป็น แมตช์หยุดเผด็จการ หยุดรัฐประหาร

เอาผีทักษิณมาขู่ก็ไม่กลัว เอาความสงบมาเรียกค่าไถ่ก็ไม่มีใครเชื่อ พอพูดว่า เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่ คนก็สวนทันทีว่า ลุงตู่ต้องจบ ความสงบจึงเกิด

ดังนั้น ที่อุตส่าห์คิดอะไรกันมาอย่างซับซ้อนพิสดารเพื่อหวังว่าตัวเองจะได้อยู่ยาวโดยเข้าไปชำระตัวพิธีกรรมการเลือกตั้งนั้นมันจะไม่เป็นและไม่ง่ายอย่างที่คิด

สู้อุตส่าห์แช่แข็งพรรคการเมือง นักการเมืองมาตั้งห้าปี สู้อุตส่าห์กดคนไว้ไม่ให้โงหัว เงยหน้ามา 5 ปี และในวันนี้ไม่มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง อะไรทั้งนั้น มันก็พิสูจน์แล้วว่าไม่มีอะไรมาต้านทานพลังของประชาชนที่ดิ้นรนเพื่ออิสรภาพและศักดิ์ศรีความกินดีอยู่ดีของตัวเอง

ยิ่งกดก็ยิ่งเกิด ยิ่งทำให้ขาดคนยิ่งไขว่คว้า ยิ่งได้มายากยิ่งมีค่า

รัฐประหารที่คิดว่าจะไม่เสียของ กลับเป็นคุณต่อประชาธิปไตยและได้สร้างสำนึกเรื่องประชาธิปไตยลงในสังคมอย่างแน่นหนาชัดเจนเป็นปึกแผ่น อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน