เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ : การแย่งยึดที่ดิน เพื่อเพิ่มพื้นที่ปล่อยฝุ่น PM 2.5

ถ้าตัดเรื่องการเลือกตั้งที่มีความสำคัญมากต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดอนาคตบ้านเมืองออกไป เหตุเพราะมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งประกาศออกมาแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 24 มีนาคม 2562 แล้ว

ปัญหาเร่งด่วนอันดับแรกคือปัญหาเรื่องมลภาวะในอากาศที่เผชิญกับฝุ่น PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานอยู่ในขณะนี้

จนถึงวันนี้ค่าฝุ่น PM 2.5 ยังพุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่หยุด ขนาดเกิดวิกฤตถึงขั้นที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงกว่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมงที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรถึง 2-3 เท่า และมีค่าเกินมาตรฐานต่อเนื่องตลอดเดือนมกราคม อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เสนอให้รัฐบาลประกาศใช้มาตรา 9 ของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อประกาศให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นเขตควบคุมมลพิษ เชื่องช้าเพราะ “คำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศ”

คงกลัวความเสียหายเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวจนอาจส่งผลกระทบทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ตก

ขณะที่หลายหน่วยงานขององค์กรภาครัฐและเอกชนต้องปรับเวลาทำงานใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการออกมาเผชิญผลกระทบจากภาวะมลพิษในอากาศช่วงเช้ากันแล้ว และมีลูกจ้างจำนวนไม่น้อยต้องลาป่วยไม่สามารถออกไปทำงานได้จากโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้

 

ในประเทศจีนมีกรณีแบบเดียวกันกับไทย แต่รุนแรงกว่ามาก ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมามีการปกปิดและบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 มาหลายปี จากการที่สถานทูตอเมริกาในกรุงปักกิ่งติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศบนหลังคาสถานทูต และแจ้งข่าวผ่านทวิตเตอร์ให้กับพนักงานในสถานทูตว่าวันไหนอากาศแย่ก็ไม่ควรอยู่นอกอาคาร

จนทำให้พลเมืองในจีนรับรู้เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

มีข้อหนึ่งที่ติดใจชาวจีนตรงที่ข่าวของรัฐบาลจีนมักบอกว่าอเมริกาและจีนมีมาตรฐานในเรื่องการวัดมลภาวะไม่เหมือนกัน มาตรฐานของอเมริกาอาจจะสูงไปก็ได้

ในขณะที่สถานทูตอเมริกาบอกว่าสภาพอากาศจากฝุ่น PM 2.5 สูงและอันตรายมากสำหรับมาตรฐานของอเมริกา

แต่รัฐบาลจีนบอกว่าสภาพมลภาวะของจีนอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยดี จนทำให้ชาวจีนถามว่า “คนอเมริกันมีคุณภาพของความเป็นคนมากกว่าคนจีนหรือ”

เรื่องนี้ไม่ต่างจากไทยตรงที่ ปัจจุบันบ้านเรากำหนดมาตรฐานการปล่อยฝุ่น PM 2.5 สูงเกินกว่ามาตรฐานของ WHO

คนไทยจึงไม่แพ้ชาติใดในโลก ตรงที่ร่างกายและจิตใจแกร่งกว่าคนประเทศอื่นเพราะได้สิทธิพิเศษในการรับมลพิษทางอากาศสูงกว่าคนประเทศอื่น

จึงทำให้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ถูกลดทอนลงจากความสามารถในการรับมลพิษทางอากาศสูงกว่าคนประเทศอื่น

 

ในเรื่องของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corrodor (EEC) ก็เช่นกัน

โจทย์ที่ควรตั้งก็คือ นับตั้งแต่การพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออกตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 เรื่อยมา ศักยภาพของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกต้องเผชิญกับสภาวะแบกรับมลภาวะเกินขีดจำกัดมากเกินควรแล้ว

ซึ่งมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องทำการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ทั่วทั้งพื้นที่ภาคตะวันออกได้แล้วว่า ถ้าจะต้องเพิ่มการพัฒนาอุตสาหกรรมบนพื้นที่นี้ต่อไปภายใต้นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC จะเป็นการเพิ่มขีดจำกัดของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในการแบกรับมลภาวะมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีกหรือไม่ อย่างไร

ดังจะเห็นได้จากบทเรียนสำคัญที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2552 กรณีศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชุมชนในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอบ้านฉางและใกล้เคียง จังหวัดระยอง โดยให้ระงับโครงการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมไว้เป็นการชั่วคราว 76 โครงการ มูลค่า 400,000 ล้านบาท จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นนั้น

เป็นกรณีศึกษาได้ดีที่การพิจารณาคดีด้านสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญหรือตระหนักถึงในประเด็นของ “ขีดจำกัดของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในการแบกรับมลภาวะ”

 

ในประเด็นเรื่องขีดจำกัดของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในการแบกรับมลภาวะมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ที่จะเพิ่มสูงเกินค่ามาตรฐานยิ่งขึ้นไปอีกจากนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC นั่นคือการแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชน

สิ่งแรกที่คณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหารการพัฒนา EEC จะต้องทำก็คือจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ในที่ดินในภาพรวม

ซึ่งการจะบรรลุเจตนารมณ์ให้เกิดรูปธรรมในการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ได้นั้น กฎหมาย EEC หรือพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 จึงบัญญัติให้สามารถเวนคืนที่ดินส่วนบุคคล ยึดที่ดินราชพัสดุและ ส.ป.ก. ได้ โดยให้อำนาจทั้งปวงที่เคยเป็นของกรมธนารักษ์ในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุและคณะกรรมการการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในการบริหารจัดการที่ดิน ส.ป.ก. ในพื้นที่ EEC ตกเป็นอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการนโยบาย EEC แทน

เพื่อที่จะให้มีความเด็ดขาดในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนเป็นหลักด้วยการ

(1) กำหนดสิทธิประโยชน์ให้มากที่สุดแก่ผู้ลงทุน เช่น การยกเว้นภาษีต่างๆ

(2) ให้ผู้ลงทุนเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปีตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวได้

(3) ยกเว้นบังคับใช้กฎหมายผังเมืองและยกเลิกผังเมืองรวมอย่างน้อยสามจังหวัดที่ไม่สอดคล้องกับแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง และจังหวัดอื่นที่อยู่ใกล้เคียง

(4) ให้มีคณะกรรมการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (คชก.) เพื่อพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EIA/EHIA แล้วแต่กรณีของโครงการหรือกิจการในพื้นที่ EEC เป็นการเฉพาะ โดยว่าจ้างจากผู้ชำนาญการต่างประเทศที่ไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติไทยก็ได้ และให้มีค่าตอบแทนพิเศษแก่ คชก. เฉพาะพื้นที่ EEC ด้วย

(5) ห้ามนำบทบัญญัติว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตและคุณสมบัติของผู้ได้รับใบอนุญาตจัดทำรายงาน EIA/EHIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาใช้บังคับแก่บริษัทที่ปรึกษา/นักวิชาการที่รับจ้างจัดทำรายงาน EIA/EHIA ที่ไม่มีสัญชาติไทย

(6) จากข้อ (4) และ (5) มีความเป็นไปได้สูงที่ “การจัดทำ” และ “การพิจารณา” รายงาน EIA/EHIA อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือมีลักษณะชงเองกินเอง เพราะแยกบทบาทหน้าที่ไม่ชัดระหว่างบริษัทที่ปรึกษา/นักวิชาการที่รับจ้างจัดทำรายงานกับ คชก. ที่พิจารณารายงาน เนื่องจากกฎหมายเปิดช่องโหว่ไว้จนอาจทำให้หลายโครงการในพื้นที่ EEC สามารถมี คชก. และบุคลากรในบริษัทที่ปรึกษา/นักวิชาการที่รับจ้างจัดทำรายงาน EIA/EHIA เป็นคนคนเดียวกันได้

(7) เร่งรัดให้การพิจารณา EIA/EHIA สำหรับโครงการหรือกิจการในพื้นที่ EEC แล้วเสร็จให้ได้ภายใน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับรายงาน เพื่อเอาใจนักลงทุน ซึ่งถ้าเป็นโครงการปรกตินอกพื้นที่ EEC อาจจะใช้เวลาในการพิจารณา EIA/EHIA เป็นปีหรือไม่มีกำหนดก็ได้

(8) นำที่ดินส่วนบุคคลที่ได้มาจากเวนคืน ที่ราชพัสดุและ ส.ป.ก. ที่ยึดมาไปให้เอกชนสัมปทานได้

 

นี่คืออำนาจเด็ดขาดของสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย, คณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหารการพัฒนา EEC ที่ คสช.เขียนกฎหมายแบบให้อำนาจล้นเกินเหตุ

เช่น เรื่องการยึดที่ดิน ส.ป.ก. ที่กฎหมาย EEC มีผลไปล้มล้าง “หัวใจ” หรือ “หลักการสำคัญ” ของกฎหมาย ส.ป.ก. (พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518) ซึ่งทั้งสองเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ มีศักดิ์ในระดับเดียวกัน

หัวใจหรือหลักการสำคัญของกฎหมาย ส.ป.ก. ก็คือการคุ้มครองการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแก่เกษตรกรรายย่อยและคนยากคนจนทั้งหลาย และไม่สามารถนำที่ดิน ส.ป.ก. ไปใช้ประโยชน์อื่นที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรมได้

แม้แต่คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. เอง เมื่อต้องการเพิกถอนสภาพเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ที่ดิน ส.ป.ก.) ก็ยังต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา

แต่ในกฎหมาย EEC คสช.กลับเขียนให้คณะกรรมการนโยบาย EEC มีอำนาจเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อนำไปประกอบกิจการอื่นใดนอกเหนือจากการเกษตรกรรมได้โดยไม่ต้องดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ที่ดิน ส.ป.ก.) แต่อย่างใดได้เลย

 

ในเมื่อหัวใจหรือหลักการสำคัญนี้สูญหายไปแล้วโดยกฎหมาย EEC ก็เสมือนว่ากฎหมาย ส.ป.ก. มีสถานะว่างเปล่าในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายฉบับหนึ่งไปหักล้างหลักการสำคัญของกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่มีศักดิ์เท่าเทียมกันเกินกว่าเหตุ

จากข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561[1] ได้สรุปผลการดำเนินงานจัดที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่ 3 จังหวัดของ EEC ไว้ดังนี้

(1) จังหวัดฉะเชิงเทรา 448,074 ไร่ (2) จังหวัดชลบุรี 622,748 ไร่ และ (3) จังหวัดระยอง 80,068 ไร่ รวมทั้งหมด 1,150,890 ไร่

เป็นทั้งหมดของที่ดิน ส.ป.ก. ที่คณะกรรมการนโยบาย EEC สามารถหยิบเอาตรงบริเวณใดและขนาดใดก็ได้ที่สอดคล้องกับแผนการใช้ประโยชน์ในที่ดินในภาพรวมตามแผนพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC มอบเป็นสัมปทานแก่เอกชนเพื่อใช้พัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ได้เลยโดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ที่ดิน ส.ป.ก.) ให้ยุ่งยากแต่อย่างใด

นี่คือทั้งหมดของเรื่องราวการแย่งยึดที่ดินแปลงใหญ่ที่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. เขียนกฎหมายเหยียบหัวประชาชน และทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้มีพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ในการปล่อยฝุ่น PM 2.5 ให้กระจายไปอย่างกว้างขวางและมากขึ้นกว่าเดิม

———————————————————————————————-
[1] ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://alro.go.th/alro/internet/Land-Three/all.htm (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) เข้าถึงข้อมูลออนไลน์เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2562