ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : BNK48 , สวัสดิกะ, นาซี และการปลูกฝังลัทธิเผด็จการ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ทั้งที่น้องน้ำใสและต้นสังกัดออกมาขอโทษแล้วว่าใส่เสื้อนาซีเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แฟนคลับน้องน้ำใสที่วุ่นวายกับการบอกว่านาซีไม่ใช่อาชญากรรมต่อมนุษยชาติก็ยังพูดแบบเดิมเยอะไปหมด ต่อให้ใครต่อใครจะพยายามให้ข้อมูลว่าสวัสดิกะเป็นสัญลักษณ์ของนาซีซึ่งฆ่าคนไปหลายสิบล้านก็ตาม

นักวิชาการจำนวนมากโวยว่ากรณีน้องน้ำใสสะท้อนว่าระบบการศึกษาไทยล้มเหลว แต่อะไรในระบบการศึกษาที่ทำให้เกิดเหตุนี้คงต้องเถียงกันอีกเยอะ อย่าลืมว่าน้องน้ำใสไม่ใช่เด็กไทยคนแรกๆ ที่ห่อหุ้มร่างกายด้วยสัญลักษณ์นาซีแน่ๆ เพราะนิสิตจุฬาฯ หรือวงเมทัลแก่อย่าง December ก็เคยทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

ถ้ายอมรับว่ากรณีน้ำใสใส่เสื้อนาซีสะท้อนว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยพัง สิ่งที่ต้องระบุก็คือเรากำลังพูดถึงคนเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ซึ่งเลยวัยที่จะโทษว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานทำให้ไม่รู้ได้แล้ว

เพราะจุฬาฯ คือสถาบันที่ถือตัวเองเป็นแถวหน้าของประเทศ และนิสิตระดับนี้ควรมีความรู้เรื่องนี้กว่าเด็กในพื้นที่ห่างไกล

หากถือว่าน้ำใสใส่เสื้อนาซีเพราะการศึกษาไทยไม่ได้ความ ตำแหน่งแห่งที่ซึ่งทำให้เกิดความไม่ได้ความนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งกำลังกลายเป็นจำเลยจนเกินเหตุ เพราะการคาดหวังให้เด็กประถมหรือมัธยมรู้เรื่องนาซีอาจฝันหวานมากไปนิด เอาแค่ให้รู้ว่าสงครามโลกเกิดเพราะอะไรยังอาจมากเกินไป

น้องน้ำใสอาจไม่ผิดอะไรที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วไม่รู้ว่าสวัสดิกะบนหน้าอกคือสัญลักษณ์ของฮิตเลอร์และนาซี แต่มหาวิทยาลัยผิดแน่ๆ ที่ไม่สอนให้นิสิตรู้ว่าสวัสดิกะคือเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

เพราะเท่ากับมหาวิทยาลัยปิดหูปิดตานิสิตจากอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดซึ่งมนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน

จริงอยู่ คำว่า “สงครามโลกครั้งที่สอง” หมายถึงเหตุการณ์เมื่อเจ็ดสิบปีก่อนจนมหาวิทยาลัยอาจรู้สึกว่าไกลตัว แต่อุดมศึกษาไทยไม่ควรป่าเถื่อนจนไม่รู้ว่าสงครามนี้ฆ่าทหารและพลเรือนไปเกือบ 60 ล้าน ซึ่งหากรวมผู้บริสุทธิ์ที่ตายเพราะอดอยากกับโรคภัยเกือบ 30 ล้านไปด้วย สงครามนี้ก็คร่าชีวิตราว 70-85 ล้านคน

ด้วยจำนวนชีวิตมนุษย์ที่ถูกทำลายไปราว 3-4% ของประชากรในโลก หรือมากกว่าคนไทยทั้งประเทศในปัจจุบัน สงครามโลกครั้งนี้เตือนใจให้คนเห็นว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมที่สุด เหตุผลคือคนจำนวนมากไม่ได้ตายจากการสู้รบแบบประจันหน้า แต่เพราะเทคโนโลยีการฆ่าที่ถูกพัฒนาเป็นอาวุธสงคราม

ในพัฒนาการทางภูมิปัญญาที่มนุษยชาติสรุปบทเรียนหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง นักปราชญ์ทั้งที่เป็นนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่ามนุษย์เอาความรู้ไปพัฒนาเครื่องมือเพื่อฆ่าแบบนี้ไม่ได้

ความตายของคน 70-80 ล้าน จึงไม่ได้จบที่การขุดหลุมฝังศพคนตาย แต่คือการศึกษาเพื่อหาทางไม่ให้คนฆ่ากัน

มหาวิทยาลัยที่ไม่พูดเรื่องสงครามโลกครั้งที่สองนั้นปิดหูปิดตานิสิตจากบทเรียนครั้งใหญ่ของโลก และมหาวิทยาลัยที่พูดเรื่องนี้โดยไม่พูดถึงฮิตเลอร์, นาซี, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, ผู้นำทรราช, ความโหดเหี้ยมของญี่ปุ่น, ไทยร่วมกับฝ่ายอักษะ ฯลฯ คือสถาบันที่เขลาจนไม่รู้ว่าอารยธรรมมนุษย์มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

น้องน้ำใสไม่ผิดที่ใส่เสื้อเพราะความไม่รู้

แต่สถาบันอุดมศึกษาที่ล้มเหลวในการให้ความรู้พื้นฐานด้านอารยธรรมมนุษย์แก่นิสิตแบบนี้ผิดแน่ๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคำนึงว่านิสิตคนอื่นเคยก่อเหตุทำนองเดียวกันนี้จนอื้อฉาวมาแล้ว และตัวมหาวิทยาลัยเองก็มีอาจารย์ที่เรียนเรื่องนี้โดยตรงมากที่สุดอยู่ที่นั่นเอง

ขณะที่น้องน้ำใสเป็นเหยื่อของมหาวิทยาลัยซึ่งไม่ช่วยให้นิสิตรู้ว่าโลกมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

โอตะของน้องน้ำใสกลับหลุดโลกจนปกป้องไอดอลโดยอธิบายว่า “สวัสดิกะ” ไม่ใช่สัญลักษณ์นาซี, “ฮิตเลอร์” ไม่ใช่เผด็จการที่ชั่วร้าย และ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว” ไม่ใช่การฆ่ามนุษยชาติซึ่งเลวร้ายที่สุดเท่าที่มีมา

การฆ่าไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เคยฆ่า เช่นเดียวกับไม่เคยมีญาติพี่น้องเกี่ยวข้องกับการฆ่าคนอื่น

การฆ่าจึงเป็นพฤติกรรมผิดปกติซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่มีชู้, ถูกด่า, แค้นเพราะถูกโกง, โดนหยามศักดิ์ศรี, รักษาอำนาจของระบบเผด็จการ ฯลฯ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องบุคคล

อย่างไรก็ดี ฮิตเลอร์และพรรคนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองได้ฆ่าคนไปเกือบ 17 ล้าน ซึ่งเป็นชนชาติยิวราวๆ 6 ล้าน

โดยที่คนทั้งหมดไม่เคยขัดแย้งหรือทำสงครามกับนาซีอย่างใดทั้งสิ้น

แต่การฆ่าเกิดเพราะคนเหล่านี้เป็น “คนยิว”, คนโปแลนด์, คนสลาฟ, เกย์, ยิปซี ฯลฯ ซึ่งฮิตเลอร์และนาซีเห็นว่าฆ่าทิ้งได้ทันที

ในพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์ปัจจุบัน การฆ่าเพราะผู้ฆ่าเห็นว่าผู้ถูกฆ่าเป็นคนบางเชื้อชาติซึ่งต้องกวาดล้างคือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ถือเป็นหนึ่งในอาชญากรรมที่รุนแรงที่สุดของมนุษยชาติ

เพราะคือการฆ่าเด็ก, ผู้หญิง, คนแก่, คนพิการ ฯลฯ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย นอกจากเกิดในเชื้อชาติที่ผู้ฆ่าไม่พอใจ

ปัจจุบันนี้เรารู้ว่าความคลั่งชาติ คลั่งศาสนาทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายกรณี เช่น ตุรกีฆ่าคนอาร์เมเนียเกือบ 1.5 ล้านระหว่าง พ.ศ.2458-2466 หรือพม่าฆ่าคนโรฮิงญาอย่างน้อย 10,000 คน ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิวถูกถือว่าโหดเหี้ยมกว่ากรณีอื่นๆ จนน่าสะพรึงกลัว

นักวิชาการที่ศึกษาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิวหรือ “Holocaust” สรุปตรงกันว่านาซีฆ่าคนยิว โดยกระบวนที่วางแผนเพื่อทำให้คนเยอรมันธรรมดาๆ ยอมรับการฆ่าคนยิวซึ่งเคยอยู่ร่วมกันในที่สุด พูดง่ายๆ คือฮิตเลอร์โฆษณาชวนเชื่อว่ายิวทำลายสังคมเยอรมันจนประชาชนเห็นว่าการฆ่าประชาชนด้วยกันทำให้สังคมเจริญ

เพื่อปูทางไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฮิตเลอร์และนาซีปลูกฝังความคิดว่ายิวคือเชื้อโรคที่ทำให้เยอรมันเลวร้าย จากนั้นจึงยึดทรัพย์, เผาหนังสือยิว, ห้ามขายของให้คนยิว, ห้ามประกอบพิธีทางศาสนา, ยึดบ้าน, จับย้ายไปอยู่เขตกักกัน, บังคับตีตราแสดงชนชาติ ฯลฯ เพื่อแบ่งแยกคนยิวจากคนเยอรมันอย่างถาวร

หลังจากทำให้คนเยอรมันรังเกียจคนยิวที่เคยอยู่ร่วมกัน ฮิตเลอร์และนาซีเอาคนยิวเป็นทาสในการผลิตข้าวของเครื่องใช้ในสงครามแทบทั้งหมด ใครที่ทำงานไม่ได้ก็ถูกยิงหรือถูกฆ่า ผู้หญิง, คนแก่ และเด็กถูกจับรมก๊าซฆ่าหมู่ จากนั้นก็เอาศพหรืออวัยวะไปชำแหละเพื่อทดลองหรือประดิษฐ์สิ่งที่รัฐทหารต้องการ

แม้โลกจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายกรณี แต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิวคือการฆ่าที่มีการเตรียมการและสร้างเทคโนโลยีเพื่อฆ่าคนราวหกล้านที่ไม่เคยมีจนบัดนี้ สวัสดิกะคือสัญลักษณ์ของนาซีซึ่งแปลงเยอรมนีเป็นทุ่งสังหาร

ฮิตเลอร์คือเผด็จการที่เป็นทรราชซึ่งปลุกปั่นจนชาติที่ก้าวหน้ากลายเป็นชาติบ้าสงคราม

ในอารยธรรมโลกเท่าที่มีจนปัจจุบัน สวัสดิกะ, ฮิตเลอร์ และนาซีคือสัญลักษณ์ของเผด็จการที่ยกระดับเป็นทรราชคลั่งชาติซึ่งใช้ความรู้ทางสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพื่อฆ่ามนุษย์อย่างที่สุด ฮิตเลอร์และนาซีไม่ได้เลวร้ายแค่เพราะทำเรื่องเลวร้าย แต่คนกลุ่มนี้เลวร้ายเพราะผลักสังคมให้ทำเรื่องชั่วร้ายจนน่าสะพรึงกลัว

บทเรียนที่มนุษยชาติได้จากกรณีฮิตเลอร์และนาซีคือสังคมที่คนเหมือนกันหมดนั้นอันตราย คนเยอรมันไม่น้อยจึงเกลียดเครื่องแบบทหารหรือสีน้ำตาลซึ่งเป็นสีเสื้อนาซีไปด้วย เพราะเครื่องแบบชวนให้สังคมตกกับดักความคิดว่าคนเราต้องเหมือนกันหมด จากนั้นก็ง่ายที่จะชี้นำว่าการฆ่าคนที่แตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา

กรณีน้ำใสและโอตะเป็นหลักฐานแห่งความเสื่อมทรามของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือคนไทยสมัยนี้อาจถูกปลูกฝังความเป็นนาซีจนน่าตระหนก เพราะนอกจากจะเป็นสังคมที่คนในเครื่องแบบปกครองประเทศ ผู้มีอำนาจก็ยังยัดเยียดความเข้าใจผิดๆ ว่าคนทั้งประเทศต้องเหมือนกันตลอดเวลา

อันตรายที่สุดของลัทธินาซีคือความเชื่อว่าจะจัดการกับคนที่แตกต่างอย่างไรก็ได้ และปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ สังคมไทยกำลังถดถอยสู่เส้นทางที่อำนาจรัฐจะไล่ล่าหรือกระทั่งส่งคนไปสอดแนมและอุ้มฆ่าผู้ที่เห็นแตกต่างได้ตามอำเภอใจ ขอแค่อย่าให้ถูกจับได้ก็พอ