รายงานพิเศษ : 20 ปี ปฏิญญานักปกป้องสิทธิมนุษยชน ความคุ้มครองที่ยังไม่เกิดในไทย

วันที่ 9 ธันวาคม 2561 จะครบรอบ 20 ปี ของปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights Defender) หรือชื่อเต็มว่าปฏิญญาว่าด้วยสิทธิและความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรของสังคม ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสากล ที่ผ่านการลงคะแนนเสียงจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ รัฐสมาชิกทุกรัฐจึงมีพันธะว่าต้องทำให้เป็นกฎหมายภายในประเทศตน

ปฏิญญานี้กล่าวถึงมนุษย์ทุกคนที่มีหน้าที่ปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยให้ความช่วยเหลือและปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการทำงานเคลื่อนไหวโดยสันติ

และระบุหน้าที่ของรัฐและความรับผิดชอบของมนุษย์ทุกคนที่มีต่อการปกป้องสิทธิมนุษยชน

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดเวทีพูดคุยในประเด็น “จากรายงานของยูเอ็นถึงแนวทางการทำงานเพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนของไทย”

โดยมีเวทีเสวนา “20 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน : แนวทางเพื่อยกระดับการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย”

 

อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อปี 2548 ประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของสหประชาชาติเรื่องการคุ้มครองและสืบสวนกรณีการทำร้ายนักปกป้องสิทธิมนุษยชน จากการเสียชีวิตของเจริญ วัดอักษร และสมชาย นีละไพจิตร

ต่อมาเมื่อปี 2559 ประเทศไทยเข้าสู่การทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนด้วยระบบยูพีอาร์โดยได้รับข้อเสนอแนะจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติเรื่องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน 10 ข้อ ซึ่งประเทศไทยรับว่าจะนำมาปฏิบัติ

เช่น การคลี่คลายคดีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกอุ้มหายถูกฆ่า รวมถึงการหามาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการคุกคามในรูปแบบต่างๆ

“ปัญหาคือ จนวันนี้ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมา ทั้งยังพบว่า 3-4 ปีนี้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะผู้หญิงถูกฟ้องร้องถูกดำเนินคดีมากขึ้น บางคนถูกฟ้องเกือบสิบคดี กรณีธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนนอกจากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกบริษัทธุรกิจฟ้องแล้ว หลายคนถูกเจ้าหน้าที่รัฐฟ้องร้องดำเนินคดีในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย ซึ่งถือเป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการแสดงความเห็นและการแสดงออก กรรมการสิทธิฯ รับเรื่องร้องเรียนและได้ตรวจสอบกรณีการคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายกรณี และได้ทำข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีมาตรการป้องกันแต่ปัจจุบันยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังกังวลถึงเรื่องการคุกคามทางสื่อออนไลน์ซึ่งมีการใช้ถ้อยคำที่ทำให้สร้างความเกลียดชังหรือใส่ร้ายป้ายสี รวมถึงการคุกคามทางเพศต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงด้วย”

อังคณาเสนอว่า ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจเพื่อยุติกรณีการฟ้องร้องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งหรือเพื่อทำให้เกิดความยากลำบากกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อยากให้รัฐมีมาตรการป้องกันการคุกคามโดยสื่อออนไลน์รวมถึงการคุกคามทางเพศ

ส่วนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกสังหารอุ้มหาย รัฐต้องมีความพยายามในการคลี่คลายคดี ต้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้

 

ปรานม สมวงศ์ องค์กรโปรเท็คชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงปัญหาการคุกคามนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกว่ามีรูปแบบการคุกคามหลากหลาย

ส่วนใหญ่การคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ได้รับแจ้งมักมีขั้นตอนคือ

1. โทรศัพท์ข่มขู่นักปกป้องสิทธิและคนในครอบครัว

2. บุกมาหาถึงบ้านหรือเข้าหาครอบครัว เมื่อมีหน่วยงานความมั่นคงติดตามทำให้เพื่อนบ้านและครอบครัวตกใจหวาดกลัว และผู้หญิงถูกมองว่าเป็นผู้กระทำผิด

3. หากนักปกป้องสิทธิมีตำแหน่งทางราชการ จะถูกคอยสอดส่องร้องเรียนว่าใช้เวลาราชการมาเคลื่อนไหวหรือใช้ตำแหน่งกดดัน

4. ดักฟังทางโทรศัพท์ ติดตามความเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ต่างๆ

5. ใช้กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้องเพื่อยุติการเคลื่อนไหว

6. หากพื้นที่ขัดแย้งมีผลประโยชน์จำนวนมาก นายทุนจะเสนอเงินหรือตำแหน่งให้ หากปฏิเสธจะเริ่มฟ้องร้องแล้วขอเจรจา

7. เมื่อคุกคามทุกรูปแบบแล้วไม่สามารถยุติการเคลื่อนไหวได้ นำมาสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือการลอบสังหาร

“รัฐควรเข้ามามีบทบาท คือ 1.ยอมรับและตระหนักถึงคุณค่าในบทบาทของนักปกป้องสิทธิทั้งหญิง-ชายและต้องมีหลักประกันในการคุ้มครองและสนับสนุน เพื่อเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิตของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ 2.ยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการทำงานของนักปกป้องสิทธิ เช่น ม.44, คำสั่ง คสช. ที่ 3/2558, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และกฎหมายอื่นที่จำกัดเสรีภาพการชุมนุมและการแสดงออก 3.ยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด การเลือกปฏิบัติ ใช้หลักนิติธรรมเป็นข้ออ้างในการจัดการกับประชาชน และการปฏิเสธไม่ให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม รวมถึงต้องมีกระบวนการทบทวนอย่างโปร่งใสในกรณีที่มีการใช้คดีเป็นเครื่องมือในการคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ”

ปรานมเผยว่า มีแนวทางในหลายประเทศที่ออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เช่น ฮอนดูรัส เม็กซิโก คองโก แถบแอฟริกาตะวันตกก็สนใจจะมีนโยบายและกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมากขึ้น ส่วนอินโดนีเซียมีกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านผู้หญิงที่ทำงานปกป้องผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะ

 

แสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความอาวุโส กล่าวถึงการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน (SLAPP) ว่า กลายเป็นแนวทางที่นิยมใช้กันทั่วไป ทั้งในภาครัฐและบริษัทที่ทำโครงการขนาดใหญ่แล้วมีปัญหากับชาวบ้าน โดยส่วนใหญ่เป็นคดีที่โทษไม่สูงนัก แต่ทำให้ชาวบ้านหยุดเคลื่อนไหว จึงเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรณีอัยการส่งฟ้องถ้ามีเหตุพอสมควรศาลควรไต่สวนมูลฟ้องให้มีขั้นตอนการกลั่นกรองก่อนเข้าการสืบพยาน

“ไม่ใช่ว่าการชุมนุมจะไม่มีเรื่องผิดกฎหมายเลย อะไรเกินเลยก็ลงโทษไป แต่ไม่ใช่ทำในลักษณะฉวยโอกาส ชาวบ้านที่โดนคดีก็ต้องรู้ทันกฎหมายและไม่ตื่นกลัว ต้องมองว่าเป็นโอกาสสื่อสารให้สังคมเข้าใจว่ามีปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ได้รับอยู่ ด้านกลไกรัฐส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาต้องดูว่ามีการฟ้องโดยไม่สุจริตด้วย หลายกรณีที่ขึ้นศาลแล้วยกฟ้อง จึงควรเอาใจใส่ทบทวนการดำเนินคดีในลักษณะที่เป็นการกลั่นแกล้ง”

แสงชัยกล่าว