ผ่าการเมืองชายแดนใต้ หลัง “สุเทพ” คารวะแผ่นดิน กับวาทกรรมทักษิณ-เครือข่าย และความนัยรอยร้าว ปชป.

ผลที่เกิดขึ้น หลัง “สุเทพ” คารวะแผ่นดินที่ชายแดนใต้

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2561 เป็นเวลาเกือบสัปดาห์ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย และอดีตเลขาธิการ กปปส. นายสุริยะใส กตะศิลา นายสำราญ รอดเพชร นายอุทัย ยอดมณี และนายจอมเดช ตรีเมฆ ร่วมเดินคารวะแผ่นดินพร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นักการเมืองที่คาดว่าจะอยู่พรรคท่านเดินอ้อนคนไทยทั้งพุทธและมุสลิมไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้า วัยรุ่น เยาวชน (สาวๆ หนุ่มๆ) หรือแม้กระทั่งเด็กๆ เรียกว่าเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มตามแผนและกำหนดการคารวะแผ่นดินที่ชายแดนใต้ (เริ่มจากนราธิวาส ปัตตานี ยะลาและสงขลา)

การคารวะแผ่นดินที่ชายแดนใต้ของท่านและคณะครั้งนี้มีข้อสังเกตหลายประการดังนี้

1.การเมืองคนบ้านๆ ในพื้นที่ เริ่มเปิด

การที่ชาวบ้านออกมาต้อนรับท่านสุเทพมาก (น่าจะมากกว่าที่ท่านเดินที่ กทม.หรือภาคอื่นก่อนหน้านี้) มีข้อสังเกตว่าเป็นความสามารถของสุเทพล้วนๆ หรือ ส.ส.เก่า นักการเมืองท้องถิ่นเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่านายเจะอามิง โต๊ะตาหยง นายรำรี มามะ และนายสุรเชษฐ์ แวอาแซ ท่านมีมวลชนชาวบ้านอยู่ในมือ

อย่างไรก็แล้วแต่ เป็นที่ทราบกันดีว่าเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ตลอดสิบปีกว่าโดยเฉพาะหลัง คสช.รัฐประหาร การแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในมือหน่วยความมั่นคงทั้งหมด การเมืองถูกปิด ยกเว้นในพื้นที่มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเวทีถกเสวนาการเมืองเฉพาะนักวิชาการ ประชาสังคมและนักศึกษา (บ้าง) เท่านั้น และหลายครั้งถูกคำรามด้วยหน่วยความมั่นคง

หรือแม้กระทั่งก่อนสุเทพลงพื้นที่ พรรคอื่นๆ ก็ไม่กล้าเปิดตัวถึงคนบ้านๆ ยกเว้นในเวทีเสวนามากกว่า

แต่หลังจากท่านสุเทพลงพื้นที่ การเมืองเริ่มเปิดสู่คนระดับรากหญ้าหรือคนบ้านๆ คนในหมู่บ้านกล้าพูดเรื่องการเมืองในตลาดและร้านน้ำชา ผู้สมัครทุกพรรคลงแนะนำตัวในงานบุญ งานศพ

งานที่ชาวบ้านชุมนุมเยอะๆ (ที่บ้านผมจะนะ แม้แต่วันประชุมผู้ปกครอง นักการเมืองก็มาแนะนำตัว) และทุกพรรคกล้าเดินมากขึ้น (ถึงแม้ทางหน่วยความมั่นคงจะออกมาขู่ท่านสุเทพก่อนลงพื้นที่ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าสุเทพก็คือพันธมิตร คสช.)

สำหรับการเมืองที่เปิดครั้งนี้ (ถึงแม้จะแปลกกว่าพื้นที่ทั่วประเทศตรงภายใต้กฎหมายพิเศษความมั่นคง) ก็จะเป็นสิ่งดีว่าจะได้มีข้อเสนอใหม่ๆ ในการหาทางออกสำหรับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอด 14 ปี หรือแม้กระทั่งปัญหาราคาพืชผลโดยเฉพาะเรื่องยาง

2.วาทกรรมเลือกข้างการโจมตีคู่แข่ง

เป็นที่ทราบกันดีการแข่งขันทางการเมืองชายแดนใต้ทุกพรรคมีโอกาส อยู่ที่บุคคลและกลุ่มบุคคล และพรรครวมพลังประชาชาติไทยหรือพรรคของท่านสุเทพก็มีโอกาสมากๆ เพราะได้อดีต ส.ส.นราธิวาส นายเจะอามิง โต๊ะตาหยง นายรำรี มามะ และนายสุรเชษฐ์ แวอาแซ ท่านเหล่านี้มีมวลชนชาวบ้านอยู่ในมืออยู่แล้ว

แต่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีพรรคประชาชาติของกลุ่มวาดะห์เดิมและมีเลขาธิการพรรคอย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง (อดีตเลขาธิการ ศอ.บต. ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในผลงาน) ที่กำลังมีกระแสดี

ดังนั้น คู่แข่งทางการเมืองพรรคสุเทพในวงการเมืองรู้กันว่าต้องเป็นพรรคประชาชาติอย่างแน่นอน และวงการเมืองก็ทราบกันดีว่าพรรคประชาชาติกับพรรคเพื่อไทยของนายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร (ผู้ที่ชาวใต้มองว่าสลายชุมนุมตากใบตอนท่านเป็นนายกรัฐมนตรี) เป็นพันธมิตรกัน

วาทกรรมการหาเสียงโจมตีคู่แข่งจากปากสุเทพคือ พันธมิตรหรือเครือข่ายทักษิณโดยกล่าวหา “ทักษิณ ชินวัตร” ใช้ยุทธวิธีแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อยในการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ดังนั้น การสกัดคู่แข่งทางการเมืองถึงแม้ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยก็ต้องไม่เอาพรรคพันธมิตรทักษิณ (วงการการเมืองทราบดีว่าคือพรรคประชาชาติ)

กล่าวคือ นายสุเทพมองว่า “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร จะใช้ยุทธวิธีแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เพราะแบงก์ร้อยเมื่อรวมกันก็เป็นจำนวนมาก และอาจจะเป็นตามเป้าที่มีการประกาศไปก่อนหน้านี้ว่า เขาจะได้ ส.ส.เกิน 300 เสียง ด้วยการให้พรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ส่วนพรรคประชาชาติของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ไปเน้นที่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือเจ๊แดง น้องสาวนายทักษิณ อาจจะมีกลุ่มเป้าหมายอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งนี้ เชื่อว่าเมื่อแยกกันไปแล้ว สุดท้ายก็จะมารวมร่างกันอีก”

“แต่ในส่วนของพรรคเรา (พรรครวมพลังประชาชาติไทย) ไม่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทางการเมือง เพราะทำงานอย่างตรงไปตรงมาให้ประชาชนเห็นว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องซับซ้อน จากนี้ไปก็จะลงพื้นที่คารวะแผ่นดินในภาคใต้ ซึ่งไม่กลัวว่าจะเกิดกระแสต่อต้านเหมือนที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่น เพราะการเดินของผมเปรียบเทียบเหมือนกับพระธุดงค์ มั่นใจว่าการเดินคารวะแผ่นดินของตนจะไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย จนเป็นสาเหตุให้เกิดการเลื่อนการเลือกตั้ง เหมือนที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตนี้” นายสุเทพกล่าว

ในขณะคู่แข่งพรรคสุเทพก็ใช้วาทกรรมแบบบ้านๆ เช่นกันว่า “ต้องไม่เลือกพรรคที่หนุนทหาร” เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ามวลชนชายแดนใต้ไม่เอาทหาร

ดังนั้น ถึงแม้บรรยากาศทางการเมืองจะเปิด แต่นักการเมืองยังใช้กลยุทธ์เก่าๆ เพราะเข้าถึงประชาชนที่จะเลือกตั้งง่ายกว่าแข่งขันนำเสนอกันทางนโยบายซึ่งเป็นการปิดโอกาสที่นำเสนอว่าแต่ละพรรค (โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่จะได้รับการเลือกตั้ง) จะมีนโยบายใดแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และปากท้องประชาชนอย่างไร

ที่สำคัญทุกพรรคถึงแม้ไม่หวังได้รับเลือกตั้ง แต่ต้องการคะแนนเสียงเพราะทุกคะแนนมีค่าในครั้งนี้

3.สิ่งคาดไม่ถึง

การต้อนรับของประชาชนต่อสุเทพไม่เห็นคนมาด่า มาว่า มาคืนนกหวีดเหมือนที่อื่น แต่มีภาพหนึ่งหลุดออกมาจนได้คือ มีชายคนหนึ่งขอถ่ายรูปแต่กลับใช้สัญลักษณ์มือแสดง “ความหมาย” ไม่สุภาพ ทำให้สุเทพมีสีหน้าไม่ดีและภาพนี้ถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว จนท้ายสุดชายคนดังกล่าวออกมาเปิดใจผ่านเฟซบุ๊กเมื่อ 16 พฤศจิกายน เวลา 20:03 น.ว่า

“ภาพนั้นเป็นภาพที่ถ่ายเล่นๆ แต่โคตรไวรัล เพราะว่ามันสั้น ง่าย เข้าใจได้เร็ว และเป็นความรู้สึกที่คนไทยหลายๆ คนต้องการสื่อออกมา มันจึงไวรัล

แต่กระนั้นก็ตาม ทุกความดังย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย

วันแรกที่ภาพนี้กระจาย ตอนนั้นเครียดมาก เพราะมันเกินกว่าที่เราคาดไว้

คืนนั้นวิตกมาก เครียดจนนอนไม่หลับ เพราะคนต่างแท็กกันมามากมาย และมีการแซวเยอะมาก เช่น จะเอาอะไรบ้าง เดี๋ยวไปเยี่ยม จะกินอะไรไหม? มีใครเยี่ยมบ้านรึยัง?

แรกๆ ก็ขำๆ แต่มาเจอเป็นร้อยข้อความที่มาถามเรื่องคุก เล่นเอาใจแป้วไปเลย

แต่ก็ยังมีกำลังใจ เพราะคนในโซเชียลส่วนใหญ่ยังชื่นชม คนใกล้ตัวยังรับฟังและให้กำลังใจ

แม้จะมีเรื่องท้วงติง ว่าสัญญะมันหยาบคาย

แต่ก็เป็นการทวงคำถามต่อลุงกำนันว่า ที่ลุงพร้อมเลือกตั้ง เพราะตอนนี้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งเป็นไปตามที่ลุงกำนันต้องการแล้วใช่ไหมครับ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2345612058785664&set=a.340188355994721&type=3&theater

4.เห็นรอยร้าวในพรรคประชาธิปัตย์

นอกจากภาพอดีต ส.ส.นราธิวาส นายเจะอามิง โต๊ะตาหยง นายรำรี มามะ และนายสุรเชษฐ์ แวอาแซ ตามสุเทพเข้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยทำให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.ชายแดนใต้น้อยลงแล้ว

การที่นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์เปิดบ้านรับสุเทพที่สงขลาจนต้องทำให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ฝั่งหัวหน้าพรรค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศให้พรรคสอบและลงโทษถาวร เสนเนียม นั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าในพรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีรอยร้าวอยู่หลังมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค

และน่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ในการเลือกตั้งที่ภาคใต้และทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์หลังการเลือกตั้งยังไงก็คงร่วมมือกับสุเทพไม่ว่าท่านจะหนุน คสช.หรือไม่ ซึ่งสวนทางกับคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์อย่างไอติมที่จะยึดมั่นไม่หนุนการสืบทอดอำนาจ คสช.

สำหรับถาวร เสนเนียม ออกมาแก้ตัวว่า เป็นสิทธิของเขาเพราะใช้บ้านพักส่วนตัวรับเพื่อนและสอดคล้องที่สุเทพให้สัมภาษณ์ว่าเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกันและทำงานร่วมกันมาตั้งแต่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ตอนที่ไปจับการโกงการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย ไปถึงการทุจริตการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน เมื่อตอนที่มาเคลื่อนไหวต่อสู้กลางถนนคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม ต่อต้านระบอบทักษิณ เรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศ

5.การโอบกอดสตรีมุสลิม : โลกโซเซียลถล่มท่าน

ช่วงที่นายสุเทพและคณะเดินคารวะแผ่นดินพบปะประชาชน ประชาชนหลายคนก็อยากถ่ายรูปกับท่านทั้งเดี่ยวและกลุ่ม ทั้งพุทธและมุสลิม ทั้งชายและหญิง ซึ่งท่านก็ให้ความเป็นกันเอง โอบกอดเหมือนที่อื่นๆ แต่สำหรับชายแดนใต้แล้วสตรีมุสลิมเข้าไปถ่ายรูปกับท่านแล้วท่านโอบกอดทำให้มีข้อคอมเมนต์มากมายตำหนิท่านในสามวันแรกผ่านโลกโซเชียลและท่านก็ไหวตัวทัน พอไปเดินที่ยะลาวันที่สี่ปรากฏว่าเหตุการณ์เช่นนั้นไม่เกิด มือทั้งสองของท่านสุเทพเก็บไว้อย่างดี

อย่างไรก็แล้วแต่ ผู้เขียนมองว่าจะโทษสุเทพอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะหนึ่งมุสลิมะห์ (สตรีมุสลิม) รู้ทั้งรู้ว่าสุเทพเวลาขอถ่ายรูปจะรีบโอบกอดมุสลิมะห์ ดังนั้น การหลีกเลี่ยงดีที่สุด สองคนของพรรคสุเทพทั้งอดีต ส.ส.จชต. มุสลิมะห์ พรรคและกรรมการพรรคที่เป็นมุสลิมต้องกล้าสะกิดท่านสุเทพ ไม่น่าปล่อยให้บานปลายถึงสามวันทั้งๆ ที่รู้ว่าการทำเช่นนี้มีโอกาสอันโอชะต่อศัตรูทางการเมืองโจมตีท่านและพรรค

สำหรับเรื่องนี้ (ชาย-หญิงในสังคมมุสลิม) แล้วต้องระมัดระวัง นักการเมืองที่จะทำนโยบายสาธารณะยิ่งต้องรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งเรื่องนี้ผูกโยงกับหลักการอิสลามที่เป็นวิถีชีวิตคนพื้นที่

“โดยหลักการแล้ว การพบปะกันระหว่างชายหญิงมิได้เป็นสิ่งถูกห้ามโดยสิ้นเชิง ตราบเท่าที่เจตนาของการพบปะกัน เป็นไปด้วยกับจุดประสงค์แห่งความดีงามไม่ว่าเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตาม ในการพบปะกันนั้นจะต้องอยู่ในขอบเขตและต้องไม่ลืมถึงธรรมชาติทั้งสองเพศ” อัลลอฮฺ ตรัสความว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แก่บรรดาศรัทธา ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาสตรีให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้” โองการอันนูร 30-31

ในอิสลามถือว่าการวางตัวของชายหญิงมีขอบเขต ไม่อนุญาตให้ชายสัมผัสส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายหญิงยกเว้นสามีของนาง ท่านศาสนทูตมุฮัมมัดได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “จงอย่าเรียกหญิงที่อยู่คนเดียว” (ติรมีซีย์, บุคอรีย์และมุสลิม)

“จงอย่าเรียกหญิงในเวลาที่สามีของนางไม่อยู่ เพราะปีศาจร้ายซาตานอาจล้อมรอบพวกเจ้าดังเช่นสายเลือด” (ติรมีซีย์)

ดังนั้น หวังว่าผลของการลงพื้นที่ของสุเทพครั้งนี้จะเกิดประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ชายแดนใต้เมื่อปี่กลองการเลือกตั้งดังขึ้นและขอความกรุณา กกต.ไม่เลื่อนการเลือกตั้งเพราะการเลื่อนเลือกตั้งไป 1 วัน อำนาจของประชาชนชายแดนใต้ในการกำหนดชะตากรรมในพื้นที่รวมทั้งแก้ปัญหา-พัฒนาชายแดนใต้ก็จะช้าอีก 1 วัน

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10217976578946485&set=a.3589519657067&type=3&theater