‘สมคิด-อุตตม’ควง’แจ๊ก หม่า’ลงนามชื่นมื่น ลั่นทำธุรกิจไม่หวังกำไรหรือผูกขาด

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานภาครัฐของไทยกับบริษัทในเครืออาลีบาบากรุ๊ป เพื่อส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยภายใต้ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ณ โรงแรมแบ็งค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนปาร์ค ว่าการเดินทางมาของนายแจ๊ก หม่า ในวันนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมั่นใจปีนี้จะขยายตัวได้มากกว่า 4% แน่นอน ประกอบกับไทยยังมีนโยบายยกระดับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ไทยไปสู่ดิจิทัลให้รวดเร็วที่สุด รวมทั้งการดำเนินนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตร เพื่อไม่ให้เกษตรกรไทยย่ำอยู่กับที่

“ในช่วงที่มีข่าวการเดินทางของแจ๊ก หม่า เพื่อเข้ามาลงทุนในไทยช่วง 2 วันที่ผ่านมานี้ ก็มีการคำสั่งซื้อทุเรียนของไทยเข้ามาแล้ว 6 หมื่นรายการ และไทยยังมีเงาะ กล้วยหอม มะพร้าว ข้าว และสินค้าเกษตรอีกหลากหลาย ถ้าเราสามารถร่วมมือกันอย่างดี จะช่วยสร้างโอกาสให้คนที่อยู่ห่างไกลและด้อยโอกาสให้มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

นายแจ๊ก หม่า ประธานกรรมการบริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า จีนกำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยการขยายตัวของกำลังซื้อของคนชั้นกลางที่มีจำนวนมากกว่า 300 ล้านคนในปัจจุบัน ประกอบกับนโยบายเปิดการค้าเสรีของจีน คงไม่มีเวลาที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ที่ประเทศต่างๆ จะใช้โอกาสนี้ในการส่งสินค้าไปยังตลาดจีน โดยอาลีบาบายืนยันว่าเราไม่ได้ทำธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไรหรือผูกขาดทางการค้า แต่เราเน้นการสร้างความสามารถให้ธุรกิจและคนรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จ

“ที่สำคัญคือผลิตผลทางการเกษตรของไทย ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมมะลิ ทุเรียน หรือผลไม้ต่างๆ ล้วนเป็นสินค้าที่ชาวจีนชื่นชอบ ด้วยจุดแข็งในเรื่องผู้คนและวัฒนธรรมของไทย ประกอบกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ทำให้เรามั่นใจในอนาคตและศักยภาพการเติบโตของไทย โดยกลุ่มอาลีบาบายืนยันที่จะเป็นพันธมิตรในระยะยาวกับประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โลกดิจิตอล” นายแจ๊ก หม่า กล่าว

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ผลจากการดำเนินนโยบายเปิดประเทศของจีนน่าจะส่งผลบวกต่อไทย โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนเบ่งบาน การเปิดตลาดการค้าร่วมกันจะช่วยส่งเสริมให้เจ้าของธุรกิจของไทยสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีความสำคัญต่อไทยมาก