คลังโต้‘พิชัย’เศรษฐกิจไทยช่วง 3 ปีขยายตัวดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

จากกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วิจารณ์ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่กล่าวว่า “การที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4.0% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยที่ธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ทำนายการเจริญเติบโตของโลก เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย โดยถือว่าไทยเติบโตต่ำที่สุดในภูมิภาค และต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมดในเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรประเมินความคุ้มค่าจากการกระตุ้นเศรษฐกิจเพราะหลายโครงการที่ผ่านมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ จำกัดอยู่กับบางกลุ่มเท่านั้น เมื่อเทียบกับงบประมาณที่ลงไปกับความคุ้มค่าที่ได้รับ มีผลที่ได้น้อย ดังนั้น จึงควรคิดว่าทำอย่างไรให้ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งจะยั่งยืนและเป็นผลดีต่อภาวะการคลัง”

นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับต่อเนื่องตลอด 3-4 ปี จาก 1.0% ในปี 2557 ขึ้นมาเป็น 3.0% 3.3% และ 3.9% ในปี 2558 2559 และ 2560 ตามลำดับ และคาดว่า ในปี 2561 จะขยายตัวได้ 4.2% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในระดับเต็มศักยภาพ (Potential GDP Growth)

นายพรชัยกล่าวว่า เศรษฐกิจขยายตัวมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนโดยรวมยังสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ดี ดังนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากที่ขยายตัวเพียง 1.0% ต่อปี มาขยายตัวได้ที่ 3.9% ต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี ถือเป็นอัตราการเพิ่มที่เร็วกว่าประเทศต่างๆ หากเทียบเวียดนามขยายตัวจาก 6.0% ในปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 6.8% ต่อปี ในปี 2560 ลาวจาก 7.6% ในปี 2557 ลดลงเป็น 6.8% ต่อปี ในปี 2560 กัมพูชาจาก 7.1% ในปี 2557 ลดลงเป็น 7.0% ต่อปี ในปี 2560 และมาเลเซียจาก 6.0% ในปี 2557 ลดลงเป็น 5.9% ต่อปี ในปี 2560

นายพรชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้วางรากฐานระยะปานกลางและระยะยาวให้แก่เศรษฐกิจ เพื่อสร้างโอกาสและความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชนในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น โครงการลงทุนในอีอีซี โดยการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เพื่อให้เป็นฐานที่ตั้งสำคัญของการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งใช้เงินลงทุนกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในระยะ 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้เป็น New Engine of Growth ของเศรษฐกิจไทยและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โครงการอีเพย์เมนต์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ริเริ่มโครงการในลักษณะนี้ สนับสนุนฟินเทค และส่งเสริมการใช้คิวอาร์โค้ด

นายพรชัยกล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะกระจายโอกาสไปยังภูมิภาคต่างๆ ผ่านโครงการลงทุนด้านคมนาคมขนส่งและส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อให้ประชาชนในจังหวัดรองมีงานทำและมีรายได้มากขึ้น ตลอดจนดูแลผู้มีรายได้น้อย 11.4 ล้านคน ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยให้มีทักษะอาชีพเพิ่มขึ้น มีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถเข้าถึงปัจจัย 4 ได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น การดำเนินนโยบายของรัฐบาลมิได้มุ่งหวังเฉพาะการเติบโตเชิงปริมาณแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องการให้คุณภาพของเศรษฐกิจและประชาชนดีขึ้นด้วย สอดคล้องกับธนาคารโลกและเอดีบีที่ระบุว่า โอกาสของการขยายตัวทางเศรษฐกิจคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาอีอีซี นอกจากนี้ อันดับของ Ease of Doing Business ที่ดีขึ้นถือเป็นปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นในอนาคต

นายพรชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ในช่วงปี 2557 และ 2558 รัฐบาลดำเนินมาตรการทางการคลัง การเงิน และกึ่งการคลัง เพื่อหยุดการทรุดตัวของเศรษฐกิจหลายมาตรการ เช่น มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย มาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี มาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหยุดการทรุดตัวลงได้และเร่งตัวขึ้นจาก 1.0% ต่อปี เป็น 3.0% ต่อปี โดยที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับปกติ หนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง

นายพรชัยกล่าวว่า ต่อมาในช่วงปี 2559 และ 2560 รัฐบาลได้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โครงการอีอีซีมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุน การใช้จ่าย การท่องเที่ยว และการจ้างงาน ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็น 3.3% และ 3.9% ต่อปี ตามลำดับ โดยที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับปกติ หนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆ ที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับประเทศ สะท้อนผลของการดำเนินนโยบายเพื่อลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยลดภาระค่าครองชีพลงและมีความเป็นอยู่ดีขึ้น อันจะเป็นการวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยสามารถเจริญเติบโตแบบลักษณะมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (Inclusive Growth) ในอนาคตต่อไป