ศาลเสนอเพิ่มเติม ป.วิอาญา 161/1ให้อำนาจศาลตรวจคำฟ้อง ป้องกันกลั่นเเกล้งฟ้องเป็นคดีความ

เมื่อวันที่ 17 เมษายน นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า สำนักงานศาลยุติธรรมมีการเสนอเเก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยจะเพิ่มเติม ม.161/1 เข้ามา โดยมาตรา 161 มีสาระสำคัญคือ ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องหรือยกฟ้องหรือไม่ประทับฟ้อง ซึ่งในการฟ้องคดีอาญาจะมีคนอยู่ 2กลุ่มที่มีสิทธิในการฟ้องคดีอาญา 1.อัยการ 2.ราษฎรที่เป็นผู้เสียหาย ซึ่งปกติหากเป็นการฟ้องคดีโดยอัยการศาลจะไม่ค่อยไต่สวนมูลฟ้อง จะประทับฟ้องเลยเพราะเราถือว่าขั้นตอนนี้ผ่านการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเสนอความเห็นส่งให้พนักงานอัยการกลั่นกรองความเห็นจนมีการฟ้องคดีเข้ามาเเต่ส่วนที่เราเสนอเเก้ไขเพิ่มเติมคือกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ซึ่งต้องอธิบายว่ากรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์นั้นไม่มีขั้นตอนในการสอบสวนและการพิจารณาสั่งฟ้องของอัยการ วิธีพิจารณาความอาญา ก็เลยกำหนดขั้นตอนการไต่สวนมูลฟ้องเข้ามาเพื่อที่จะป้องกันแกล้งฟ้องหรือ ฟ้องโดยไม่มีมูล เพื่อให้เกิดภาระกับอีกฝ่ายหนึ่ง

“แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมาจะมีบางคดีซึ่งมีจำนวนที่อาจจะไม่น้อยที่ฟ้องเข้ามาเองแล้วศาลเห็นว่าคำฟ้องน่าจะเป็นคำฟ้องที่อาจจะเกิดจากการใช้สิทธิการฟ้องที่ไม่สุจริตหรือว่าอาจจะมีการกลั่นแกล้งหรือบิดเบือนข้อเท็จบางอย่าง แต่ถ้าคำฟ้องนั้นบรรยายฟ้องมาครบตามที่ ป.วิอาญากำหนดไว้ ศาลก็จำเป็นที่จะต้องนัดไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งตรงนี้ ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีคำสั่งประทับฟ้องแต่การที่นัดไต่สวนมูลฟ้อง เราเห็นว่ามันก็จะเป็นภาระกับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ที่จะต้องแต่งตั้งทนายเข้ามาเพื่อที่จะถามค้านต่างๆ ปัญหานี้มันจะทำให้เป็นความทุกข์ในใจของประชาชนที่ถูกฟ้อง เราก็เลยมาคิดว่าถ้าเรามีขั้นตอนหนึ่งเป็นเหมือนการตรวจคำฟ้องก่อนที่จะมีการนัดไต่สวนมูลฟ้อง หากว่ามีข้อความหรือเหตุการณ์ใดปรากฏต่อศาลที่น่าสงสัยและศาลอาจจะเรียกหลักฐานบางอย่างมาเพื่อตรวจสอบดู ก่อนที่จะเรียกก็จะมีการไต่สวนมูลฟ้อง”นายสุริยัณห์ กล่าว
โฆษกศาลยุติธรรม อธิบายว่า คือแค่โจทก์ยื่นคำฟ้องมา ศาลดูแล้วศาลสงสัยบางสิ่งบางอย่าง ว่าอาจจะเป็นกรณีที่ไม่สุจริต หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงหรืออาจจะกลั่นแกล้งเอาเปรียบกับฝ่ายจำเลยหรือว่ามีการมุ่งหวังประโยชน์ในทางที่มิชอบ ดูแล้วว่าน่าจะมีการตรวจสอบคำฟ้องก่อน ก็จะมีการเรียกเอกสารบางอย่างจากมา
“ถ้าเกิดสมมติว่าเมื่อศาลได้ดูคำฟ้องประกอบกับเอกสารโดยละเอียดแล้ว ศาลมีสิทธิที่จะไม่ประทับรับฟ้องเลย โดยที่ไม่ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องเลย พูดง่ายๆก็คือให้อำนาจศาลมากขึ้นในการที่จะปกป้องสิทธิและเสรีภาพของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ศาลมีอีกขั้นตอนหนึ่งขี้นมาเพื่อที่จะให้ดูรายละเอียดของคำฟ้องของประชาชนที่เป็นโจทก์ก่อนที่จะไต่สวนมูลฟ้อง”

เมื่อถามว่า การเเก้ไขกฎหมายตรงนี้จะทำให้การฟ้องคดีเองยากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ นายสุริยัณห์ กล่าวว่า ไม่ได้ทำให้ฟ้องยากขึ้น กว่าเดิมแต่ว่าการฟ้องจะต้องแน่ใจจริงๆว่าสิ่งที่คุณฟ้องนั้นไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบคนอื่น หรือบิดเบือนข้อเท็จจริงเพราะฉะนั้นมันจะทำให้เราตัดเรื่องการแกล้งฟ้องไปได้เลย เราไม่ต้องมากังวลต่อไป ซึ่งต่อไป หากต้องการฟ้องต้องมีข้อมูลมาพอสมควร ต้องมีข้อเท็จจริงที่มันชัดเจนจริงๆจึงจะฟ้อง ไม่ใช่ฟ้องเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องเป็นภาระหรือฟ้องเพื่อที่จะบีบบังคับกัน เพื่อที่จะเรียกร้องเอาประโยชน์จากจากเขา ซึ่งกฎหมายที่จะขอเเก้ไขนี้เดิมมีใช้ใน ในพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบฯ ซึ่งยังไม่เคยมีการใช้กับกฎหมายตัวอื่น

“สิ่งที่ตนอยากเรียนเพิ่มเติมกับประชาชนคือ ม.161/1 ที่มีการเสนอเเก้ไขเพิ่มเติมนี้จะสอดคล้องกับข้อสังเกตของนักสิทธิมนุษยชนต่างประเทศ อย่างในเรื่องของยูเอ็น(องค์การสหประชาชาติ) คณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเกิดมีกรณี นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนเข้ามาดำเนินการบางอย่างในประเทศไทยแล้วไปกระทบกับกลุ่มเอกชนบางฝ่าย จะถูกฟ้องง่ายจนเกินไป เราไม่มีขั้นตอนอะไรที่จะปกป้องคนที่จะเสียสละตัวเองมาเคลื่อนไหวเพื่อคนอื่น เพราะฉะนั้น ม.161/1 ก็จะเปิดโอกาสให้ศาลสามารถที่จะตรวจสอบในเรื่องของการฟ้องได้มาขึ้นก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่เราบอกกับยูเอ็นว่าอันนี้คือมาตรการที่ทั้งศาลไทยและรัฐบาลไทยจะคุ้มครองให้คนสุจริตถูกฟ้องได้ยากขึ้นตรงนี้เราพยายามให้สากลยอมรับในระบบของการพิจารณาคดีของเรามากขึ้นด้วย ซึ่งการเเก้ไขกฎหมายนี้ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาเเล้ว” โฆษกศาลยุติธรรมระบุ