เผยแพร่ |
---|
แม้ศาสตราจารย์สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิ้ง ยังไม่ได้รับการยอมรับกันว่าเป็นนักทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน แต่เป็นที่ยอมรับกันว่า ฮอว์กิ้งคือนักจักรวาลวิทยาที่ดีที่สุด เปรื่องปราดที่สุดเท่าที่โลกมีอยู่ในเวลานี้ การสูญเสียนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่รายนี้ไปเมื่อ 14 มีนาคมที่ผ่านมา หลังผ่านวันเกิดครบรอบ 76 ปีมาได้เพียง 2 เดือนเศษ จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของแวดวงวิทยาศาสตร์โลก
ฮอว์กิ้งเป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด สำเร็จการศึกษาขั้นต้นจากเซนต์ อัลแบนส์ สคูล จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่ยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ, ออกซ์ฟอร์ด สถาบันเก่าของผู้เป็นบิดา
น่าสนใจที่ผู้เป็นพ่อต้องการให้ฮอว์กิ้งร่ำเรียนไปในทางแพทยศาสตร์ แต่เจ้าตัวกลับอยากเรียนคณิตศาสตร์
ฮอว์กิ้งลงเอยด้วยการเรียนฟิสิกส์ เนื่องจากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ไม่สอนคณิตศาสตร์ ในเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งฮอว์กิ้งบอกว่า เขาใช้เวลาในการเรียนแค่ไม่ถึง 1,000 ชั่วโมง ฮอว์กิ้งก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science)
ว่ากันว่าคณาจารย์ในเวลานั้นกำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าควรให้เกียรตินิยมอันดับ 1 หรือ 2 แก่ฮอว์กิ้งดี ในขณะที่สตีเฟน ฮอว์กิ้ง ตระหนักดีว่าในสายตาของคณาจารย์ ตนถือเป็น เด็กแสบ จัดการยาก
เขายื่นคำขาดว่า ถ้าอยากเห็นเขาไปที่อื่น ก็ต้องให้เกียรตินิยมอันดับ 1 แต่ถ้าได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ทุกคนก็ต้อง ทน กับการที่เขาจะเรียนต่อที่นี่ต่อไป
ผลก็คือ เดือนตุลาคมปี 1962 สตีเฟน ฮอว์กิ้ง เดินทางมาศึกษาต่อพร้อมกับทำงานวิจัยทางด้านจักรวาลวิทยา (Cosmology) ที่ภาควิชา คณิตศาสตร์ประยุกต์และฟิสิกส์ทฤษฎี (ดีเอเอ็มทีพี) ของยูนิเวอร์ซิตี ออฟ เคมบริดจ์ ซึ่งไม่มีสาขาวิชานี้ที่ออกซ์ฟอร์ด จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ในปี 1965 ด้วยวิทยานิพนธ์ชื่อ คุณสมบัติต่างๆ ของจักรวาลที่กำลังขยายตัว
ปีถัดมา ความเรียงชื่อ เอกภาวะ กับ เรขาคณิตแห่งกาล-อวกาศ (Singularity and the Geometry of Space-time) ได้รับรางวัล อดัมส์ ไพรซ์ ซึ่งกลายเป็นรางวัลทางวิชาการแรกสุดในจำนวนรางวัลและตำแหน่งเชิดชูเกียรติมากมายที่ฮอว์กิ้งได้รับจากแวดวงวิชาการทางวิทยาศาสตร์
ตอนนั้น สตีเฟน ฮอว์กิ้ง อายุเพียง 24 ปีเท่านั้น
ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของฮอว์กิ้งอยู่ที่ผลงานการศึกษา กฎพื้นฐาน ซึ่งควบคุมความเป็นไปของทั้งจักรวาลอยู่ ผลงานดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกับ เซอร์ โรเจอร์ เพนโรส นักคณิตศาสตร์ฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ในปี 1970 ซึ่งเป็นการ คิดต่อ และขยายความ ทำความเข้าใจ ทฤษฎีพื้นฐานของจักรวาลทั้งหลาย รวมทั้งผลงานยิ่งใหญ่อย่างทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ฮอว์กิ้ง กับเพนโรส เป็นผู้เริ่มนำเอาคณิตศาสตร์ของหลุมดำมาประยุกต์ใช้กับจักรวาลทั้งจักรวาล และใช้สมการทางคณิตศาสตร์แสดงให้เห็นถึง เอกภาวะ ที่กาลและอวกาศบิดโค้งงอเป็นอนันต์ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไกลโพ้น ณ จุดที่เริ่มต้นการเกิด บิ๊กแบง
ฮอว์กิ้งระบุว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปส่อนัยให้เห็นว่า อวกาศและกาลเวลา (สเปซ แอนด์ ไทม์) เริ่มต้นเมื่อเกิดบิ๊กแบง และจะถึงจุดสิ้นสุดใน หลุมดำ
ฮ
อว์กิ้งยังระบุต่อไปว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวเหล่านั้น ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องหลอมรวมเอาทฤษฎียิ่งใหญ่และสำคัญ 2 ทฤษฎีเข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียว นั่นคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป กับทฤษฎีควอนตัม ซึ่งเป็นพัฒนาการยิ่งใหญ่ในทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปพูดถึงจักรวาลอันไพศาล ในขณะที่ทฤษฎีควอนตัมพูดถึงส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร
ผลที่ได้จากความพยายามหลอมรวม 2 ทฤษฎีเข้าเป็นหนึ่งเดียว ทำให้สตีเฟน ฮอว์กิ้ง ค้นพบเมื่อปี 1974 ว่า หลุมดำ นั้นไม่ควร ดำมืดโดยสิ้นเชิง ในทางตรงกันข้าม หลุมดำควรปล่อยรังสีให้หลุดรอดออกมาได้ รังสีที่หลุดรอดออกมาในที่สุดจะค่อยๆ เลือนและหายไป คุณลักษณะดังกล่าวถูกเรียกขานกันในเวลานี้ว่า ฮอว์กิ้ง เรดิเอชั่น หรือ การแผ่รังสีของฮอว์กิ้ง
ฮอว์กิ้งยังเป็นคนระบุว่า จักรวาลไม่มีริมขอบและไม่มีขอบเขต ตามจินตภาพของเวลา ซึ่งแสดงนัยให้เห็นว่า วิถีแต่แรกเริ่มของจักรวาลนั้นถูกกำกับและชี้ขาดโดยกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์โดยสมบูรณ์
ฮอว์กิ้งยังก่อให้เกิดการถกเถียงกันขนานใหญ่ว่าด้วย แบล็กโฮล อินฟอร์เมชั่น พาราดอกซ์ โดยการปฏิเสธความเชื่อที่ว่า ข้อมูลจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่ยืนยันว่า หากหลุมดำสามารถแผ่รังสีและค่อยๆ เลือนหายไปได้ ดังนั้น ข้อมูลที่ตกลงไปในหลุมดำเมื่อถึงช่วงอายุขัยของหลุมดำ ข้อมูลดังกล่าวก็จะสูญหายไปชั่วนิรันดร์ ก่อนที่จะยอมรับและเปลี่ยนความคิดไปในทางตรงกันข้าม โดยอธิบายว่า ข้อมูล จะไม่หายไปไหน แต่จะถูกเก็บไว้ที่ เส้นขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event Horizon) และถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นรังสีเมื่อเกิดการแผ่รังสีของหลุมดำ
แต่ผลงานที่ทำให้สตีเฟน ฮอว์กิ้ง กลายเป็น ซุปเปอร์สตาร์ กลับไม่ใช่งานเขียนพรรณนาเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย แต่กลับเป็นงานเขียนหนังสือวิทยาศาสตร์ สำหรับบุคคลทั่วไป ให้สามารถอ่านและเข้าใจได้โดยง่าย แบบ พ็อปปิวลาร์ ไซนซ์ ภายใต้การทำงานร่วมกับ ปีเตอร์ กัซซาร์ดี บรรณาธิการของแบนทัม บุค ที่ไม่ยอมปล่อยให้ข้อความที่เขาอ่านแล้ว ไม่เข้าใจว่าฮอว์กิ้งต้องการสื่ออะไรให้ผู้อ่านเข้าใจหลุดรอดออกมาในหนังสือแม้แต่ประโยคเดียว ด้วยการถาม-ตอบกับฮอว์กิ้งแบบถี่ยิบ
หนังสือยิ่งใหญ่เล่มนั้นชื่อ A Brieft History of Time กลายเป็นหนังสือ เบสต์เซลเลอร์ ที่ติดอันดับขายดีของ ซันเดย์ไทมส์ ต่อเนื่องกันนานที่สุดจนเป็นสถิติของกินเนสส์ บุ๊ก ออฟ เวิลด์ เรคคอร์ด เป็นหนังสือที่ โซลด์ เอาต์ ภายในไม่กี่วันที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
ฉบับภาษาอังกฤษขายได้มากกว่า 10 ล้านเล่มทั่วโลก ก่อนถูกถ่ายทอดออกเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 40 ภาษา รวมทั้งภาษาไทย ที่สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์จำหน่ายในชื่อ ประวัติย่อของกาลเวลา
และเป็นหนังสือที่ทรงอิทธิพลสูงสุดร่วมสมัย ส่งผลให้เกิดนักคิด นักวิทยาศาสตร์รุ่นแล้วรุ่นเล่า สืบสานปณิธานเหนือกาลเวลาของฮอว์กิ้ง ในการแสวงหา แกรนด์ ยูนิฟายด์ ธีออรี ออฟ เอฟรีธิง
สตีเฟน ฮอว์กิ้ง แต่งงานกับ เจน ไวลด์ เมื่อปี 1965 สามปีหลังจากพบกันบนถนนในเซนต์ อัลแบนส์ เรื่องราวของคนทั้งสองกลายเป็นหนังสือ 2 เล่ม เล่มแรกเป็นงานเขียนในมุมมองของฮอว์กิ้งต่อความรักและแน่นอนต่อเจน ไวลด์ ชื่อ มาย บรีฟท์ ฮิสทรี ที่สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์ในชื่อ ประวัติย่อของตัวผม กับอีกเล่มซึ่งเล่าเรื่องทั้งหมดในมุมมองของเจน ไวลด์ โดยใช้ชื่อว่า ทราฟเวลลิง ทู อินฟินิตี: มาย ไลฟ์ วิธ สตีเฟน
ภาพยนตร์ที่สะท้อนเรื่องราวชีวิตคู่ของทั้งสอง เดอะ ธีออรี ออฟ เอฟรีธิง เมื่อปี 2015 ส่งผลให้ เอ็ดดี เรดเมย์น คว้ารางวัลออสการ์ดารานำชายยอดเยี่ยมในบทของฮอว์กิ้ง
สตีเฟน ฮอว์กิ้ง ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรค เอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis) ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับการสูญเสียเซลล์ประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายไปก่อนอายุขัย ตั้งแต่อายุ 21 ปี สูญเสียความสามารถในการพูดโดยสิ้นเชิงในปี 1985 สืบเนื่องจากการรักษาเพื่อยื้อชีวิตของเขาไว้ต่อไป
ฮอว์กิ้งพูดผ่านระบบสังเคราะห์เสียงด้วยคอมพิวเตอร์ ที่อินเทลพัฒนาขึ้นสำหรับให้ได้ใช้งานกันโดยทั่วไปเรียกว่า เอซีเอที หรือ เอแคท ซึ่งอำนวยให้ฮอว์กิ้งสามารถใช้กล้ามเนื้อแก้มในการควบคุมการเลือกเคอร์เซอร์เพื่อชี้ตัวอักษรในการผสมขึ้นเป็นคำ แล้วแปลงเป็นคำพูดด้วยเสียงสังเคราะห์ และช่วยให้ฮอว์กิ้งสามารถใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วไป อาทิ เวิร์ด หรือไฟร์ฟอกซ์ได้ สอนหนังสือได้ และให้สัมภาษณ์ได้
ฮอว์กิ้งเคยอุปมาอุปมัยความตายว่าเปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้การไม่ได้แล้ว ดังนั้นในความคิดของเขา จึงไม่มีทั้งสวรรค์และนรก
Wผมไม่กลัวตาย แต่ยังไม่รีบตาย เพราะผมยังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำก่อนตายW
ถึงตอนนี้ นับว่าสตีเฟน ฮอว์กิ้ง ใช้ชีวิตและเวลาที่มีอยู่คุ้มค่าอย่างยิ่งแล้ว