เผยแพร่ |
---|
หากมีความเอนเอียงมาทาง “พรรคพลังประชารัฐ” แล้ว พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา จะบริหารจัดการกับพรรคอื่นที่หมอบราบคาบอยู่ เบื้องหน้าอย่างไร
ไม่ว่าพรรคกปปส.อันอิงมากับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ไม่ว่าพรรคประชาชนปฏิรูปที่ทั้ง นายไพบูลย์ นิติตะวัน และ นพ.มโน เลาหวณิช ปวารณาตัวอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
ไม่ว่าพรรคพลังธรรมใหม่ที่มี พ.อ.วินัย สมพงษ์ ยืนเด่น
ไม่ว่าพรรคพลังชาติไทยที่มีคู่เรียงเคียงหมอน พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เดินนำหน้ามาอย่างองอาจ
นี่คือความลำบากอย่างยิ่งยวด
เป็นความลำบากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมื่อตอนตัดสินใจทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ต้องยอมรับว่าแม้คสช.จะมี “พรรค 250 ส.ว.”อยู่ในมือ แต่ก็มีความจำเป็นต้องมีอีกอย่างน้อย 250 ส.ส.อยู่ในมือ
มิเช่นนั้น เส้นทาง”สืบทอดอำนาจ”ก็ไม่ราบรื่น
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังชล ยังไม่ยอมประกาศพร้อมสนับสนุนเหมือนที่พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคกปปส.สำแดงออก
มีความจำเป็นต้องมีพรรคเล็ก พรรคน้อยมาเป็นเครื่องถนิมพิมพาภรณ์
มิเช่นนั้นจะเอา 250 ส.ส.มาอยู่ในมือได้อย่างไร
กระนั้น คสช.และโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะโอนเอียงไปกับพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเป็นพิเศษก็ไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการปฏิเสธพรรคอื่นไปโดยอัตโนมัติ
ในการตัดสินใจจนถึงขั้นเป็น”ประธานที่ปรึกษาพรรค”จึงเป็นไปอย่างยากลำบาก
เข้าทำนอง “รักพี่” แต่ก็”เสียดายน้อง”
แรกที่เข้ามาเป็น“นายกรัฐมนตรี” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยยืนยันด้วยความมั่นใจว่า
“บริหารบ้านเมืองไม่เห็นจะยาก”
แต่กล่าวสำหรับความสัมพันธ์กับพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคกปปส. พรรคพลังชาติไทย พรรคพลังธรรม ใหม่ มากด้วยความละเอียดอ่อนเพราะเป็นการบริหาร”เสน่ห์”
มีแต่”ชายเจ้าชู้”เท่านั้นจึงจะบริหาร”เสน่ห์”ได้อย่างลื่นไหล
ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นชายรักเดียวมั่นคง