สนช.ไฟเขียวร่างพ.ร.บ.กองทุนฯ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาพ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งที่ประชุมมีติเห็นชอบแล้ว ส่วนกรณีที่สำนักงบประมาณ ไม่เห็นชอบงบสนับสนุนกองทุนฯ 5% ของงบทางการศึกษา เป็นเงินประมาณ 25,000 ล้านบาทต่อปี ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) เสนอนั้น เป็นรายบะเอียดที่ต้องหารือต่อไป

นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ คณะกรรมการกอปศ. และสมาชิกสนช. กล่าวว่า สนช.มีมติผ่านร่างพ.ร.บ.กองทุนฯ 184 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุม 188 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง อย่างไรก็ตามในที่ประชุมตนได้อภิปรายชี้แจงให้ที่ประชุมเข้าใจถึงความจำเป็นในการจัดตั้งกองทุนฯ นี้ เหตุผลหลักเพราะประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการศึกษาสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวนั้นเกิดจากระบบการบริหารจัดการงบประมาณ และการจัดการศึกษาที่ผ่านมา ไม่สามารถจะลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการศึกษาได้ และการที่ไทยจะบรรลุยุทธศาสตร์ชาติในการที่จะเป็นประเทศไทย 4.0 ได้ จำเป็นที่จะต้องมีพลเมืองคุณภาพที่ผ่านการศึกษา 4.0 ได้แก่ การเน้นไปที่การลงทุนทางการศึกษา ซึ่งไม่ควรถือเป็นค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เพื่อพัฒนาเด็กเยาวชนและคนไทยทุกคนให้เป็นพลเมืองคุณภาพ เป็นการลดภาระในอนาคตของรัฐที่จะต้องมาทำสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือคนเหล่านี้ ซึ่งกลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือไปจนตลอดชีพ

นพ.เฉลิมชัยกล่าวต่อว่า กองทุนจึงมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เด็กในครรภ์เพื่อคลอดออกมาจะได้มีระดับสติปัญญาเท่าเทียมกับคนชั้นกลาง เด็กอายุ 0-3 ปีที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่พร้อม มีความยากไร้ และขาดความรู้ ที่จะดูแลเด็กได้อย่างมีคุณภาพ เด็กอนุบาล ที่มีจำนวน 2 แสนคนเศษที่ไม่ได้เรียน การศึกษาภาคบังคับ(ป.1-ม.3) มีเด็กต้องออกกลางคัน 2 แสนคน บกพร่องและพิการ 3 แสนคน ยากจน1.8ล้านคน จบมัธยมศึกษาตอนต้นแล้วไม่ได้เรียนต่ออีก 2 แสนคนเรียนด้วยความยากลำบากอีก 300,000 คนไม่ได้เรียนต่อทั้งสายอาชีวะ และสายสามัญที่จะเข้ามหาวิทยาลัยอีก2แสนคน รวมจำนวนประชากรเป้าหมายที่กองทุนจะให้การช่วยเหลือดูแลพัฒนา 4.3 ล้านคนคน ภายใต้กรอบวงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่มากเลย เฉลี่ยเพียงคนละ 6000 บาทต่อคนต่อปี

“ถ้ากองทุนไม่เกิดขึ้นคนเหล่านี้จะเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นแรงงานไร้ฝีมือ และอาจตกงาน หรือมีรายได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว เกิดการกระทำผิดทางกฎหมาย แล้วก็ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำเป็นภาระงบประมาณในการจัดสร้างเรือนจำและจ้างพัศดีเพิ่ม นอกจากนั้นยังทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบทางลบอีกเป็นจำนวนมากด้วย เราพบว่ารัฐบาลมีหนี้เงินกู้ที่ต้องชำระในปี2561ถึง 86,000 ล้านบาท คิดเป็น 3%ของงบประมาณทั้งปี 2.9ล้านล้านบาท แต่ถ้าเราใช้เงินกองทุนเพียง 0.86 % ของงบประมาณแผ่นดิน หรือ5%ของงบทางการศึกษา 25,000ล้านบาท จะสามารถสร้างศักยภาพของคนทำให้มีรายได้ดูแลตัวเองได้ และทำให้การจัดเก็บภาษีของประเทศเพิ่มขึ้น และรัฐบาลจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปกู้เงินจากต่างประเทศมาอีก”นพ.เฉลิมชัยกล่าว