‘สมคิด’ ปลุกคนไทยตื่นรับโลกดิจิทัล สร้างบิ๊กดาต้าให้ธุรกิจประชาชนเข้าถึง IOT

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ Thailand’s development landscape forward ในงาน “Digital Intelligent Nation 2018” ว่า การจัดงานครั้งนี้นับเป็นมิติใหม่ของการสร้างอนาคตใหม่ของประเทศ ขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจไทยทรุดตัวผ่านพ้นไปแล้ว ผ่านหลุมดำในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ไตรมาสที่ 4 ขยายตัว 4% รวมทั้งปี 2560 จีดีพีเติบโต 3.9% เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ และทำนายว่า จีดีพี ปี 2561 จะเติบโต 4.1% หากเป็นไปตามแผน กล่าวคือ หน่วยงานราชการขับเคลื่อนเต็มที่ เบิกจ่ายงบประมาณได้เต็มที่ การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เป็นไปตามเป้าหมาย คือ 7 แสนล้านบาท ประกอบกับความเชื่อมั่นไม่น้อยกว่าปัจจุบัน โปรเจคขนาดใหญ่เคลื่อนไปได้ตามเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุด เรื่องการส่งออก หากสามารถทะยานต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดตัวเลขการส่งออกเติบโต 17.6% สูงที่สุดในรอบ 62 เดือน ลักษณะเช่นนี้ ถ้าหากช่วยกันประคับประคองทำให้ดีที่สุด เชื่อมั่นว่าตัวเลขจีดีพีในปี 2561 จะเติบโตเกิน 4.1% แน่นอน

เครื่องยนต์ ศก.เก่า-แข่งขันไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจถึงจุดอิ่มตัว

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ตลอด 10 ปีของการทำงานการเมืองรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ตัวเลขเหล่านี้จะทะยานพุ่งไปข้างหน้านั้นมีขีดจำกัด และมีเพดานเป็นข้อจำกัด ซึ่งเป็นขีดจำกัดให้ไม่สามารถทะยานต่อไปได้ เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีเครื่องยนต์ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไปต่อได้ 30 กว่าปี เริ่มเก่า และเริ่มไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าที่ส่งออกมีไม่กี่ประเภท และแต่ละประเภทเริ่มหายไปแล้ว

“สำคัญที่สุด เมื่อใดที่การผลิตทั่วโลกก้าวไปสู่ดิจิทัล เมื่อนั้นสิ่งที่เคยได้เปรียบจากต้นทุนต่ำจะหายไปทันที เพราะฉะนั้น ช่วงเวลา 3-4 ปีนี้ มันเป็นทั้งโอกาส และความเสี่ยงของประเทศในเวลาเดียวกัน”

โอกาส-ความเสี่ยงในโลกดิจิทัล

โอกาสของประเทศเพราะเศรษฐกิจโลกเติบโต และเข้าสู่สภาวะฟื้นตัว ขณะเดียวกันอาเซียนกลายเป็นบ่อทอง เป็นดินแดนที่ทุกค่ายทุกสำนักให้ความสนใจอย่างมาก และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของการค้า และการลงทุน การท่องเที่ยว เมื่อพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น โมเมนตัมดีขึ้น ความเชื่อมั่นของคนไทยมีมากขึ้น จึงเป็นจังหวะของการใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันก็เป็นความเสี่ยงเพราะว่า ถ้าไม่ทำวันนี้ อนาคตจะลำบาก เพราะแข่งขันไม่ได้ ช่วงเวลานี้ถูกเรียกว่า รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ เพราะดิจิทัล โลกกำลังตื่นขึ้นมา ดิจิทัลกำลังทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้เกิดโอกาสอันใหญ่หลวง ทั้งในเรื่องของการค้นคว้าวิจัย การค้นคว้าแนวคิดใหม่ สามารถแชร์กันได้อย่างรวดเร็ว นวัตกรรมใหม่ที่ต้องใช้เวลาค้นคว้ายาวนานเป็น 10 ปี กว่าจะเกิดการแพร่หลายได้แต่ปัจจุบันสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงข้ามคืนเดียว เกิดเป็นโอกาส โอกาสในการสร้างความรู้ โอกาสในการแปลงความรู้ไปเป็นโอกาสทางธุรกิจ โอกาสในการสร้างประเทศให้ก้าวกระโดด ก้าวกระโดดข้ามคนอื่นได้เลย โอกาสเต็มไปหมด ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะไปถึงไหน ไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

ปลุกคนไทยตื่นรับโลกดิจิทัล

ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้แต่ละประเทศตื่นขึ้น ประเทศตื่น คนตื่น ธุรกิจตื่น เพื่อฉวยโอกาสนั้น ก้าวไปตามกระแสนั้น ประเทศไทยตื่นสาย มาเริ่มตื่นจริงๆ ภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ทางการก็ยังไม่ตื่น แต่เอกชนตื่นตัวมาก อย่างไรก็ตาม ตื่นสายยังดีกว่าไม่ตื่น เพราะฉะนั้น วันนี้เราตื่นแล้ว ภาคเอกชนหลายบริษัทตื่นขึ้นมา คึกคัก เชื่อมโยงกับต่างประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องดิจิทัล เพราะเอกชนของไทยไม่แพ้ใครทั้งนั้น

ภาครัฐตื่นแล้วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตื่นแล้วไม่งัวเงีย แต่ตื่นแล้วทำเลย พยายามปลุกคนไทยให้ตื่นทั้งประเทศ นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รับเมนเนจ ให้จัดงานที่ทำให้ปลุกคนไทยให้ตื่นทั้งประเทศ เพราะว่าขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการก้าวไปสู่อีกยุคหนึ่งแล้ว ยุคซึ่งไม่ใช่เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนความคิด แต่โลกทั้งโลกเปลี่ยนไปหมด

5 ปัจจัยก้าวสู่โลกศก-การเมืองใหม่

ฉะนั้น เมื่อภาครัฐ และเอกชนเห็นว่าต้องก้าวไปอย่างจริงจัง จึงต้องมีหลักการอยู่ 5 ประการสำคัญ ได้แก่ ประการที่ 1 ดิจิทัลที่กำลังจะเกิดจากการทุ่มงบประมาณมหาศาล จะต้องเป็นสิ่งที่เรียกว่า Digital for all เป็นดิจิทัลที่ไปสู่ทุกคนในประเทศนี้ให้ได้ โดยเฉพาะภาคส่วนที่ด้อยโอกาส เช่น ภาคเกษตรกรรม ยากจนข้นแค้น เพราะที่ผ่านมาไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงต้องการขายฝัน ว่า ต้องสร้าง สมาร์ทฟาร์มเมอร์หนุ่มสาวที่กล้าใช้เทคโนโลยีเพราะเป็นผู้นำในการแพร่เทคโนโลยีไปสู่หมู่บ้าน เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนโครงสร้างการผลิต เปลี่ยนโครงสร้างการค้าขาย ค้าขายกับโลกได้ ในอนาคตอยากเห็นความร่วมมือระหว่างบริษัทเอกชนในการทำสิ่งเหล่านี้ให้มีพลังเพื่อทำให้ Digital for all เกิดขึ้นให้จงได้

เปลี่ยนเครื่องยนต์ ศก.จากอะนาล็อคสู่ดิจิทัล

ประการที่ 2 เป็นความฝัน ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เป็น Digital driven economy เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนสู่อนาคตข้างหน้า การทำนายว่าจีดีพีปี 2561 จะเติบโตเพียง 4.1% นั้น เป็นเครื่องยนต์อะนาลอค การเติบโตทำนายได้เป็นเส้นตรง แต่เมื่อไหร่ที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตไปสู่ดิจิทัล การเติบโตจะเป็นลักษณะยกกำลัง หากสามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำแพลตฟอร์มใหม่ Business Modelใหม่ เกิดเป็นสตาร์ทอัพขึ้นมา สามารถทำสิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้ค้าขายออนไลน์กับทุกแห่งในโลกได้ สามารถนำดิจิทัลเพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่ม Productivity สร้างนวัตกรรมใหม่ เพิ่ม Value สินค้า การเติบโตจะขยายตัวเป็นทวีคูณ จีดีพีจะไม่ใช่เติบโตเพียง 4.1% แน่นอน

ฉะนั้น การจะเป็น Digital driverผู้ประกอบการ SMEs คือกำลังหลัก ไม่ใช่บริษัทใหญ่เพียงไม่กี่บริษัท เพราะผู้ประกอบการ SMEs มีเป็นล้านราย สตาร์ทอัพเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นเพราะเป็นต้นกล้าซึ่งจะเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต โดยการเปลี่ยนผ่านจากอะนาลอคไปสู่ดิจิทัลให้ได้

สร้าง “นักรบธุรกิจ” ใหม่

ประการที่ 3 คือ การสร้าง New Warrior หรือนักรบเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย เพื่อยืนหยัดเป็นนายของตัวเอง มีการค้าเป็นของตัวเอง ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด พนันได้เลยว่าช่วงเวลาไม่ถึง 2 ปี จะได้เห็นประเทศไทยมีธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และให้บริการทางการเงินจำนวนมาก

เปิดข้อมูล Big data ต่อยอดธุรกิจ

ประการที่ 4 ที่เป็นประการสำคัญ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ อนาคตข้างหน้าจะต้องมี Digital Leadership Government สำคัญมาก หน้าที่ของรัฐบาล คือสร้าง Infrastructure ที่ทำให้เป็นตัวเกาะเกี่ยวของทุกอย่าง และสร้าง ecosystem หรือสิ่งแวดล้อมด้านดิจิทัลเพื่อให้เกิดการรวมพลังได้ โดยผลักให้เอกชนนำไปและรัฐบาลส่งเสริม

รัฐบาลรู้ว่าเอกชนต้องการ Big data มีข้อมูล ซื้อขายข้อมูล ผู้ผลิตสามารถรู้ดีมานด์ เกิดตลาดขยายตัว ผู้บริโภคสามารถดีมานด์ในสิ่งที่ต้องการได้ เกิดเป็น Consumption ที่ขยายตัว มูลค่าของข้อมูลสามารถสร้าง Value ทางธุรกิจได้ ฉะนั้น ในอนาคตจะเกิดการซื้อขายข้อมูลกันระหว่างบริษัทเพื่อนำข้อมูลมาต่อยอดทางธุรกิจในอนาคต ขณะเดียวกัน Data ที่ใหญ่ที่สุด ไม่ได้อยู่ที่เอกชน อยู่ที่รัฐบาล นายกรัฐมนตรีประกาศแล้วว่าทุกแห่งจะต้องเซตระบบ Big data ขึ้นมา และต้องเป็น Open access เปิดข้อมูลเพื่อให้เอกชนใช้ประโยชน์ในการสร้างธุรกิจ

ปิ๊งไอเดียโมเดลประชาธิปไตยใหม่

ประการสุดท้าย สำคัญที่สุด Digital Politic แต่เดิมให้คนมาโหวตยากเย็นแสนเข็ญ แต่เรารู้ว่าดิจิทัลจะนำไปสู่ Engagements คนจะเข้ามามีส่วนร่วม เข้ามาพูดคุย เข้ามาแชร์ไอเดีย เข้ามาเสนอ สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การตื่นตัวของการมีส่วนร่วมเข้ามาบริหารประเทศ เมื่อใดก็ตามที่คนสามารถสื่อโดยตรงกับรัฐบาลนอกเหนือไปจากการสื่อผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รัฐบาลจะรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ถูกหรือผิด อะไรที่คนต้องการ และไม่ต้องการ เพราะฉะนั้นการมีโอกาสได้ Engage ได้รับฟัง ทำให้เกิดปฏิกิริยา 2 ซีก ระหว่างรัฐกับประชาชน ฉะนั้น เมื่อกติกาเป็นแบบนี้ Model Democracy ย่อมไม่เหมือนเดิมต่อไปแน่นอน Digital Politic และ Model Democracy ต้อง On the right track ถึงจะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้

ประกาศวางมือ เปิดทางคนรุ่นใหม่

ท้ายที่สุด ใน 3 ปีนี้สำคัญ ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐมนตรี หรือรัฐบาลก็แล้วแต่ ต้องเปลี่ยนผ่านมันให้ได้ เพราะมีเวลาอีกไม่เกิน 3 ปี นิเคอิของญี่ปุ่นฉบับล่าสุด วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต 3-4 ปีแล้ว ต้องเปลี่ยนมัน เป็นจังหวะที่ดีที่ต้องเปลี่ยนมันให้ได้

ในอนาคตข้างหน้า อยากให้คนรุ่นใหม่ สามารถเป็นนักธุรกิจ เป็นสตาร์ทอัพที่คิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ใครพร้อมเข้าสู่การเมืองเลย ถึงจะเป็น smart voice ในเมื่อเรามี smart people แต่ถ้ามัวทำมาหากินแล้วประเทศจะอยู่ตรงไหน