เผยแพร่ |
---|
สำหรับนักเรียนรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจการศึกษาพัฒนาการทางการเมืองและสังคมโลก ผ่านกรอบคิดเศรษฐกิจการเมืองคงไม่มีใครไม่รู้จัก โรซา ลุกเซมบวร์ก
เธอคือนักปฏิวัติหญิงคนสำคัญผู้ยืนหยัดต่อสู้กับทั้งระบบทุนนิยม ลัทธิจักรวรรดินิยม และลัทธิชาตินิยม ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของชนชั้นแรงงานและการปฏิวัติระดับสากล
ในโอกาสที่ หนังสือ Red Rosa เขียนโดย Kate Evans ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับความคิดและชีวิตของ “โรซา ลุกเซมบวร์ก” ถูกแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “กุหลาบดอกแดงแห่งการปฏิวัติ : ชีวประวัติฉบับนิยายภาพ ของ โรซา ลุกเซมบวร์ก” สนับสนุนโดยมูลนิธิ Rosa Luxemburg
สำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่านจึงถือโอกาสนี้จัดงานเสวนาเปิดตัวหนังสือ“ผู้หญิงกับสังคมนิยม” พูดคุยถึงบทบาทของผู้หญิงในขบวนการสังคมนิยม ความสัมพันธ์ระหว่างเพศและชนชั้น ความสำคัญของสากลนิยมในยุคที่แรงงานถูกแบ่งแยกด้วยพรมแดน และเหตุใดความคิดของโรซา ลุกเซมบวร์กจึงยังสำคัญในวันที่ลัทธิฟาสซิสต์และระบอบเผด็จการกำลังผงาดขึ้นทั่วโลก
“รศ.ดร.วริตตา ศรีรัตนา” อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า น่าสนใจว่าเราจะมอง โรซา ลุกเซมบวร์กอย่างไร ถ้าเป็น โจเซฟ สตาลิน จะกร่นด่าโรซา ลุกเซมบวร์ก พร้อมกับเลออน ทรอตสกี ส่วนพวกที่เป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยก็จะบอกว่า โรซา ลุกเซมบวร์ก หัวรุนแรงเกินไป ไม่ใช่มาร์กซิสต์จริง แค่ประวัติการรับรู้เกี่ยวกับโรซา ลุกเซมบวร์กก็น่าสนใจแล้วว่ามันเกิดการต่อสู้ในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้างขึ้นอย่างไร
โรซา ลุกเซมบวร์ก ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเรียนสำนักมาร์กซ์ที่เฉียบแหลมและฉลาดที่สุด เธอปฎิเสธที่จะยอมรับสูตรดั้งเดิมใดๆโดยปราศจากการพิจารณา เธอตรวจสอบทุกแนวคิดและข้อเท็จจริง (แม้กระทั่งแนวทางมาร์กซิสม์ด้วยกันเอง)
โรซา ลุกเซมบวร์ก ไม่เห็นด้วยกับบอลเชวิก ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการตั้งพรรคปฏิวัติพรรคเดียว และมักพูดอยู่เสมอว่า จะไม่ตั้ง “คาล์ล มาร์กซ์” ว่าเป็นสรณะ แต่ความเป็นมาร์กซิสม์ของเธอคือ ทฤษฎีที่เรารู้จักกันในงานเขียนต่างๆ มันนำมาใช้ในบริบทความเป็นจริงของเราได้มากขนาดไหน มาร์กซิสต์ของโรซา ลุกเซมบวร์ก คือการปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงในแต่ละบริบทสังคม การเมือง วัฒนธรรม นี่คือหนึ่งในมรดกทางความคิดสำคัญของโรซา
ทั้งนี้การแยกระหว่างมาร์กซิสกับสตรีนิยมต่อการปลดแอดสตรีคิดว่าไม่น่าจะสมเหตุสมผล โรซา ลุกเซมบวร์ก มองว่าการต่อสู้ของสตรีไม่อาจแยกขาดจากชนชั้นกรรมาชีพ และการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพก็ไม่อาจแยกขาดจากการต่อสู้ของสตรี ความเท่าเทียมทางเพศจะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อสังคมหลุดพ้นจากสังคมทุนนิยม และสิทธิสตรีไม่ใช่แค่เรื่องของผู้หญิงเท่านั้น แต่คือภารกิจร่วมของทั้งผู้ชายและผู้หญิงในชนชั้นแรงงาน
ส่วนการผูกโยงแนวคิดของโรซากับแยงทางสากลนิยมนั้น โรซาเชื่อและยึดมั่นเรื่องชนชั้นกรรมาชีพทุกคนบนโลกคือพวกเดียวกันต้องสามัคคีกัน เธอพยายามสร้างเครือข่ายให้เป็นระดับนานาชาติ
ดังนั้น สำหรับโรซา มาร์กซิสม์คือกระบวนการทบทวนทฤษฎีภายใต้บริบทของข้อเท็จจริงใหม่ ไม่ใช่ชุดคำสอนตายตัวที่ต้องยึดถือโดยปราศจากการวิพากวิจารณ์ มาร์กซ์สำหรับโรซาไม่ได้เป็นผู้บัญญัติความดีที่ต้องอ้างถึงอย่างศักดิ์สิทธิ์ แต่ต้องเน้นการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง ให้ความสำคัญกับพลวัตของเหตุการณ์และบริบทที่เปลี่ยนแปลงเสมอ ปฏิเสธคุณค่าหรืออุดมการณ์เหนือประวัติศาสตร์ เน้นการค้นหากฏเกณฎ์และหลักการทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจริง มากกว่าการอ้างแนวคิดสากลที่ไม่แปรผัน
สำหรับคำถามเรื่องชนชั้นมาก่อนหรือเคียงคู่กับเรื่องเพศ คำตอบสำหรับ โรซา ลุกเซมบวร์ก โดยการตีความของตนเองก็คือ มันเป็นสิ่งเดียวกัน ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคทางเพศมันมาคู่กัน

ขณะที่ “พัชณีย์ คำหนัก” นักเคลื่อนไหวสิทธิแรงงาน องค์กรสหภาพคนทำงาน ระบุว่า มรดกที่ได้จากการอ่านงาน โรซา ลุกเซมบวร์ก อย่างหนึ่งคือการต่อต้านสงคราม เวลามีสงครามที่ไหนมันเหมือนเป็นหน้าที่ของนักสังคมนิยมที่จะต้องลุกขึ้นมาต่อต้าน นี่คือความเป็นสากลนิยมที่อยู่ในหัวใจของคนที่ทำงานเคลื่อนไหว ล่าสุดก็คือการต่อต้านอิสราเอลคุกคามชาวปาเลสไตน์
ถามว่าทำไมต้องเคลื่อนไหว เพราะหากเราอ่านหนังสืออย่างเดียว เข้าใจการเคลื่อนไหวตั้งแต่ยุคสากลที่ 1 ต่อมายันสากลที่ 2 แต่ไม่เคลื่อนไหว ก็จะดูเป็นคนยึดแต่คัมภีร์ การที่เราเคลื่อนไหวจริงจะทำให้เราเป็นคนยืดหยุ่น มีพลวัต โดยมองจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นหลักก่อน อย่างการเคลื่อนไหวด้านแรงงานก็ต้องไปดูว่าเขามีปัญหาอะไร ปัญหาสตรี ปัญหาของคนที่โดนกระทำทั้งหลาย
การเกิดขึ้นของสังคมนิยมสมัยสมัยสากลที่ 2 มีเยอรมันเป็นศูนย์กลาง ตอนนั้นก็มีการต่อสู้กันมาก นักคิดฝ่ายซ้าย นักคิดสังคมนิยม มักจะมีวัฒนธรรมการทำหนังสือพิมพ์ การพบปะพูดคุย เสมอ เพื่อเป็นการทดสอบความคิดตัวเอง เอาทฤษฎีที่ค้นพบไปทดสอบกับความจริง เช่นการเสนอเรื่องรัฐสวัสดิการ ก็นำเสนอเพื่อทดสอบว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรา นี่คือตัวอย่างการประสานทฤษฎีกับการปฎิบัติซึ่งมันไม่สามารถแยกจากกันได้ เช่นเดียวกับคำว่าปฏิรูปและปฏิวัติ
เช่นเดียวกับเรื่องชนชั้นและเรื่องเพศ ก็คือเรื่องเดียวกันเชื่อมโยงกัน ใครเป็นมาร์กซิสต์ ใครเป็นนักสังคมนิยมจะต้องต่อสู้เรื่องเพศแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดเรื่องเพศ ความเท่าเทียมทางเพศ เช่นการปฏิวัติ 1917 ในรัสเซีย ที่ประสบความสำเร็จ เรื่องเพศก็เป็นประเด็นหนึ่งที่เขาพูดว่าจะต้องให้สิทธิการเลือกตั้งสตรี เป็นต้น นี่คือตัวอย่างว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน
แต่ถ้าพูดเรื่องสากลนิยม นึกถึงวันสตรีสากลคือ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา ก็เกิดขึ้นในบริบทของยุคสากลที่ 2 หมดเลย สำหรับ โรซา ลุกเซมบวร์ก ถือเป็นนักสากลนิยมโดยสมบูรณ์ เนื่องจากมีจุดยืนสนับสนุนการปลดแอกจากนักล่าอาณานิยมของประเทศต่างๆ มีทั้งความเป็นนักปฏิบัติและนักทฤษฎีที่ซื่อตรงกับแนวคิดปฏิวัติ
มรดกทางความคิดและการปฏิบัติสำคัญของโรซา คือเป็นนักทฤษฎีที่ทำงานกับมวลชน ไม่ได้เน้นทำงานกับแกนนำ เช่น มองว่าการนัดหยุดงานคืออาวุธในการต่อสู้ทางการเมืองได้ กระทั่งการปฏิวัติได้

ด้าน “จิรปรียา แซ่บู่” บรรณาธิการแปลหนังสือ กล่าวว่า การแปลหนังสือเล่มนี้เพื่ออยากให้ โรซา ลุกเซมบวร์ก และแนวคิดของเธอเข้ามาอยู่ในโลกภาษาไทย ให้คนไทยรู้จักชีวิตของนักสังคมนิยมผู้หญิงคนนี้มากขึ้น
จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว โรซา ลุกเซมบวร์ก ถูกสังหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่มีคำถามว่าแนวคิดของโรซายังใช้ได้อยู่ไหมในปัจจุบัน โดยเฉพาะขณะนี้แนวคิดฟาสซิสต์เริ่มกลับมามีอิทธิพลเกิดขึ้นทั่วโลกแล้วท่ามกลางวิกฤตสังคมและเศรษฐกิจ จะทำยังไงให้คนรุ่นใหม่ยังมีความหวังและเรียนรู้จากอดีตได้อย่างไร
ทั้งนี้ โรซา ลุกเซมบวร์ก ไม่ได้นำแนวคิดมาร์กซ์มาใช้แบบเป็นตำราที่แตะต้องไม่ได้ เช่นเดียวกับเราเองก็ไม่ควรนำแนวคิดของโรซามาให้อย่างตรงตัวโดยไม่ได้ดูทุนนิยมของศตวรรษก่อนและปัจจุบันต่างกันอย่างไร
ปัจจุบันเราอยู่ในยุคเสื่อมถอยของขบวนการแรงงานอย่างมาก เราอยู่ในยุคอินเตอร์เน็ต ที่โลกเดือด สภาพอากาศแปรปรวน ระบบราชการเลอะเทอะ เราจะต่อสู้เปลี่ยนแปลงสภาพนี้อย่างไร นี่คือคำถามร่วมสมัย
1.คือทุนนิยมทำลายทุกแง่มุมทางสังคมแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นระบบที่ขุดหลุมฝังศพตัวเอง ระบบมันสร้างวิกฤตซ้ำๆ ถ้าไม่ต่อสู้ หรือลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคม ก็จะเกิดความล่มสลายทางสังคมทั้งหมด โรซา ลุกเซมบวร์ก คือคนแรกๆ ที่ทำให้เห็นว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมและทุนนิยมเชื่อมโยงกัน ก่อนที่เลนินจะเขียนงานขึ้นมาเสียอีก
โรซาอธิบายว่าทำไมทุนต้องขยายพรมแดนไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อหาตลาดให้กับการผลิต การทำให้ประเทศอื่นๆเปลี่ยนเป็นระบบตลาดจึงจำเป็นสำหรับการคงอยู่ของระบบทุนนิยม นั่นจึงเป็นที่มาของลัทธิจักรวรรดินิยม
โรซา ยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ให้ความสำคัญกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เธอบอกเราว่า ระบบทุนนิยมนอกจากการกดขี่และทำให้เปิดความเหลื่อมล้ำในสังคมแล้ว มันยังขูดรีดธรรมชาติด้วย ทำให้เราเห็นข้อด้อยของแนวคิดอนุรักษ์ธรรมชาติแบบเดิม ที่บอกเราง่ายๆแค่อย่าไปยุ่งกับธรรมชาติ หรือต้นเหตุของปัญหาเกิดจากปัจจัยเฉพาะ หรือคนไม่กี่หยิบมือ ทั้งที่จริงๆเราอยู่กับธรรมชาติ และต้นเหตุของธรรมชาติก็คือมนุษย์เราทุกคน มันคือระบบการผลิตที่ล้นเกิน มันคือระบบที่ทำให้การทำลายธรรมชาติไม่ได้ถูกนำไปคิดว่าเป็นต้นทุนในการผลิต จะขูดรีดนำเข้าสู่ระบบการผลิตมากเพียงใดก็ได้
ดังนั้น เราจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยไม่แตะต้องทุนนิยมไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาล หรือจะมีนโยบายคาร์บอนเครดิต ก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมทุเราลง นอกจากต้องเปลี่ยนที่การผลิต โดยสรุป วิกฤตสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ทางออกคือต้องต่อสู้เพื่อให้เกิดการผลิตที่ออกไปจากระบบทุนนิยมเดิม
2.สังคมที่ก้าวหน้า ตั้งอยู่บนพื้นฐานการผลิตแบบร่วมมือกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนร่วมกัน สังคมนิยมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และสังคมนิยมคือประชาธิปไตยโดยเนื้อแท้
เมื่อระบบทุนนิยมทำลายล้างทั้งธรรมชาติและมนุษย์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความก้าวหน้าทางสังคมและเทคโนโลยีคือผลงานของทุนนิยมเช่นกัน มันทำให้โลกเปลี่ยนเร็ว สิ่งเหล่านี้คือรากฐานที่นำไปสู่การผลิตแบบร่วมมือกันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนร่วมกัน โรซาเสนอช่วงเปลี่ยนผ่านให้การผลิตควบคุมโดยชนชั้นแรงงาน เพื่อให้สังคมเป็นประชาธิปไตย ก่อนเปลี่ยนไปเป็นสังคมนิยม
โรซา สนับสนุนการปฏิวัติรัสเซียเพื่อเปลี่ยนสังคมจากระบบกดขี่เดิม แต่ก็ตั้งคำถามกับพรรคบอลเชวิก มรดกของโรซาเรื่องนี่คือ ระบบสังคมนิยมเป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง

3.การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมนิยมต้องอาศัยการปฎิวัติทางสังคมด้วย ต้องทำผ่านการเปลี่ยนแปลงของคนจำนวนมาก ไม่ใช่คนเพียงหยิบมือเดียว และไม่มีเส้นทางใดนำไปสู่สังคมนิยมได้ผ่านการปฏิรูปแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างเดียว
นั่นคือที่มาว่า การปฏิวัติและปฏิรูปต้องไม่แยกจากกัน ถ้าแยกจากกันโดยพูดแต่ปฏิรูปอย่างเดียว ที่สุดก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจริง ถ้าพูดแต่ปฏิวัติอย่างเดียวคนก็กลัว
ทั้งนี้คนที่เชื่อเรื่องปฏิวัติทางสังคมก็ไม่ได้หมายความว่าต้องถอนตัวจากการปฏิรูปต่างๆ การต่อสู้ในชีวิตประจำวันเพื่อการปฏิรูปคือวิธีการ ส่วนการปฏิวัติสังคมคือเป้าหมาย
4.เราต้องการสากลนิยมไม่ใช่ชาตินิยม ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดก็ตาม
หากอ่านชีวิตของโรซา เธอไม่เคยศรัทธาแนวคิดรัฐชาติเลย ชาติสำหรับโรซาไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากไว้ครอบงำสังคม ครอบงำแรงงาน ซึ่งปัจจุบันการครอบงำพัฒนาผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆที่ครอบงำประชาชนแทนรัฐชาติ เกิดการขบายตัวของแนวคิดฟาสซิสต์ และขวาใหม่ขึ้นในโลกการเมืองปัจจุบัน นี่คือตัวอย่างว่า ทำไมแนวคิดสากลนิยมของโรซาจึงสำคัญ
5.การปลดแอกผู้หญิงและการต่อสู้กดขี่ทุกรูปแบบต้องเป็นแกนกลางของโครงสร้างสังคมนิยม โรซ่านำเสนอการปลดแอกในตัวมนุษย์กระทั่งสังคมโลกเลยทีเดียว
“การเมืองเพื่อการปลดปล่อย ต้องมีศูนย์กลางอยู่ที่ระบบทุนนิยม แต่ก็ต้องไม่ทิ้งแง่มุมการกดขี่ด้านอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเรื่องเพศ เชื้อชาติ ฯลฯ”