วีระยุทธ ยกบทเรียนญี่ปุ่น กลยุทธ์ซามูไรเปิดแนวรบสามด้าน สู้ศึกกำแพงภาษีสหรัฐฯ

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน เผยแพร่บทความเรื่อง เมื่อซามูไรเปิดแนวรบ 3 ด้าน – ยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นสู้อเมริกา วิเคราะห์การเดินเกมรอบด้านของญี่ปุ่น รับมือเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยญี่ปุ่นแสดงให้เห็นถึงการวางหมากรุกหลายชั้นอย่างมีแบบแผน เปิดไพ่กับสหรัฐฯ อย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็เติมไพ่ในมือและเสริมพันธมิตรข้างตัวอย่างต่อเนื่อง นี่คือบทเรียนสำคัญที่ประเทศอื่นควรศึกษา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

มีรายละเอียดดังนี้

[ เมื่อซามูไรเปิดแนวรบ 3 ด้าน – ยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นสู้อเมริกา ]

แน่นอนว่าการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ความเร็วไม่ใช่ตัวกำหนดความสำเร็จ เพราะ “จังหวะเวลา” สำคัญที่สุด

ถึงกระนั้น การประกาศทางการระบุวันชัดเจนว่าเราจะไปเจรจา แต่สุดท้ายกลับต้อง “เลื่อน” ย่อมเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดีนักกับภาคธุรกิจและสังคม เพราะเป้าหมายสำคัญในช่วงเวลานี้คือการลดความไม่แน่นอนและความกังวล

แต่ในเมื่อมีเวลาอีกสักพักในการเตรียมตัว อยากชวนดูยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น ประเทศแรกที่ได้เจรจากับสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการครับ

ในการจัดการกับนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ ญี่ปุ่นเปิดแนวรบ 3 ด้านไปพร้อมกัน คือ ในขณะที่ทีมรัฐมนตรีเดินหน้าเจรจาทางตรง ภาคเอกชนญี่ปุ่นก็ขยับปรับฐานการผลิต ส่วนตัวนายกอิชิบะก็เปิดทางแสวงหาพันธมิตรใหม่- เปิดใจรับพันธมิตรเก่าไปพร้อมกัน

เปิดไพ่ของอเมริกา เพิ่มไพ่ในมือ และเพิ่มมิตรข้างตัว

แนวรบที่ 1 : ทีมรัฐมนตรีเดินหน้าเจรจา เปิดไพ่อเมริกา

ญี่ปุ่นได้เจรจาเร็วกว่าประเทศอื่น เพราะสหรัฐฯ เองก็ให้น้ำหนักในฐานะคู่ค้าที่มีมูลค่าค้าขายระหว่างกันกว่า 300,000 ล้านเหรียญต่อปี

ในการสื่อสารกับสาธารณะ ส่วนที่เป็น “ไพ่เด็ด” ย่อมต้องเก็บไว้ไม่เปิดเผย แต่ในฐานะรัฐบาลประชาธิปไตย ก็ต้องบอกเล่า “ยุทธศาสตร์” กับสังคมให้เกิดความมั่นใจด้วย

หนึ่งในแนวทางเจรจาที่รัฐบาลญี่ปุ่นบอกเล่าประชาชนคือ ในขณะที่สหรัฐฯ พยายาม “มัดรวม” 3 เรื่องใหญ่ๆ อย่างการนำเข้าสินค้า อัตราแลกเปลี่ยน และงบประมาณการทหาร ให้เป็นเรื่องเดียวกัน

รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่า ต้องการแยกโต๊ะเจรจาทั้ง 3 เรื่องออกจากกัน คุยเรื่องการส่งออกนำเข้าวงหนึ่ง ลงรายละเอียดเรื่องภาษีแยกรายสินค้า แต่ละตัวเปิดได้แค่ไหน หาแนวทางปรับสมดุล

แต่เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน (เงินเยนควรอ่อนลงหรือแข็งขึ้น) ขอเจรจาอีกวง ด้วยทีมเจรจาอีกชุดหนึ่งแยกจากการค้า เช่นเดียวกับเรื่องการทหารและงบประมาณด้านความมั่นคงที่ขอคุยต่างหากอีกทีม

เพราะญี่ปุ่นประเมินว่า การคุยแยกเรื่องจะทำให้การแสวงหา “จุดร่วม” (common grounds) ระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เกิดขึ้นง่ายกว่าการมัดทุกเรื่องรวมกัน

การเจรจารอบแรกเมื่อวันพุธที่ 16 เมษายน ญี่ปุ่นมี “ทีมเจรจา” ทั้งหมดรวม 37 คน จากกระทรวงการคลัง อุตสาหกรรม พาณิชย์ และการต่างประเทศ

แต่หลังเจรจารอบแรกผ่านไป พอจับสัญญาณทีมสหรัฐฯ ได้แล้วว่าเรื่องไหนคือ “ไพ่สำคัญ” สำหรับการต่อรองรอบถัดไป ญี่ปุ่นจึงเพิ่มสมาชิกทีมเจรจาอีก 10 คนจากกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตร เพื่อเติมรายละเอียดที่สหรัฐฯ ให้น้ำหนักเป็นพิเศษ 2 เรื่อง

เรื่องแรกคือ มาตรฐานการนำเข้ารถยนต์ ที่ปกติรถยนต์จากอเมริกาต้องใช้เวลาหลายเดือนในการขอใบอนุญาตนำเข้าของญี่ปุ่น เป็น Non-tariff barrier ที่ใช้มานาน จะต่อรองปรับลดกันอย่างไร เป็นวาระใหญ่รอบถัดไป แต่กำหนดผู้แทนเจรจาไว้ชัดเจนแล้ว เพื่อหาข้อสรุปที่ฝ่ายต่างๆ ในประเทศยอมรับได้ ก่อนไปเจรจารอบสอง

อีกเรื่องคือ การนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม โดยปัจจุบันญี่ปุ่นมีโควตานำเข้าข้าวจากต่างประเทศ แบบไม่ต้องเสียภาษีขาเข้าอยู่แล้ว 770,000 ตัน ถึงแม้ในจำนวนนี้จะเป็นข้าวจากสหรัฐฯ ถึง 45% แต่สหรัฐฯ ก็ยังต้องการเพิ่มอีก

ข้าวเป็นเรื่องอ่อนไหวที่โยงกับฐานเสียงทางการเมืองของรัฐบาล ความอยู่รอดของชาวนา และวัฒนธรรมคนญี่ปุ่น

เรื่องนี้รัฐบาลจึงต้องประสานกับหลายฝ่าย โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรแห่งชาติ หรือ JA ที่เป็นเครือข่ายชาวนาทั่วประเทศ

แต่ข้อดีของสถานการณ์นี้คือ ญี่ปุ่นเองกำลังประสบปัญหาราคาข้าวในประเทศถีบตัวสูงมาก โดยราคาข้าวปีนี้แพงขึ้นกว่าปีก่อนกว่า 2 เท่าตัว เพราะผลผลิตที่น้อยลงสวนทางกับดีมานด์ทั้งจากภายในและจากนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ การปรับตัวสามารถทำแบบ “ประนีประนอม” สไตล์ญี่ปุ่นได้ เช่น ห้าง Aeon ผู้ค้าปลีกรายใหญ่เริ่มปรับแพ็คเกจขายข้าวใหม่ โดยเอาข้าวนำเข้าจากสหรัฐฯ มาผสมข้าวญี่ปุ่นในถุงเดียวกัน เพื่อลดราคาขายปลีกต่อถุงลง

การนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ จึงสามารถเป็นทางออกแบบ Win-Win สำหรับภาคเกษตรญี่ปุ่นได้ในระยะสองสามปีนี้

แนวรบที่ 2 : ภาคเอกชนขยับปรับฐานการผลิต

นอกจากภาครัฐแล้ว ภาคธุรกิจญี่ปุ่นเองก็ขยับตัวเป็นแนวรบอีกทาง

เพราะนอกจากประเด็นดุลการค้าแล้ว ทรัมป์ก็ให้ความสำคัญกับการเพิ่มการลงทุนในประเทศและการจ้างงานคนอเมริกันในภาคอุตสาหกรรม

บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจึงปรับซัพพลายเชนรับมือสงครามการค้าไปด้วย เช่น ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้า (Honda) ก่อนหน้านี้มีการผลิตรถยนต์อยู่แล้ว 1 ล้านคันในสหรัฐฯ และนำเข้าจากต่างประเทศมาขายอีก 400,000 คัน

เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของญี่ปุ่นและรักษายอดขายในตลาดสหรัฐฯ ฮอนด้าจึงประกาศย้ายฐานการผลิตรถบางรุ่นจากเม็กซิโกและแคนาดา ไปยังสหรัฐฯ แทน เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตในสหรัฐฯ ขึ้น 30% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เป็นตัวเลขที่จะเพิ่มน้ำหนักการต่อรองให้ฮอนด้าและญี่ปุ่น

ปัญหาที่พ่วงมากับกำแพงภาษีคือ อย่างไรเสีย การย้ายฐานผลิตก็ทำไม่ได้ทันทีและทำไม่ได้กับทุกชิ้นส่วน ผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายประเภทจึงมีภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแน่ๆ

โตโยต้า (Toyota) นับว่าใจป้ำ ประกาศพร้อมจ่าย “ต้นทุนส่วนเพิ่ม” ให้กับซัพพลายเออร์ที่ต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากเม็กซิโกเข้ามาประกอบในสหรัฐฯ เพื่อประคองราคาขายรถยนต์ให้อยู่ในระดับเดิม เพราะไม่อยากเสียส่วนแบ่งการตลาดไป

แต่ในกลุ่มที่ต้องย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากญี่ปุ่นเอง รัฐบาลญี่ปุ่นก็เตรียมมาตรการช่วยเหลือซัพพลายเออร์อะไหล่ ที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัท SMEs ไว้แล้ว เช่น นิสสัน (Nissan) เดิมใช้ฟุกุโอกะเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ หากต้องลดกำลังการผลิตในฟุกุโอกะลง รัฐบาลจะเข้ามาช่วยเยียวยาและสนับสนุน SMEs ในฟุกุโอกะ เพราะสถานการณ์การเงินของนิสสันไม่แข็งแรงเหมือนโตโยต้า

ทำงานประสานกันแข็งขันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในยามเผชิญศึกสงคราม

แนวรบที่ 3 : แสวงหาพันธมิตรใหม่ เปิดใจพันธมิตรเก่า

นอกจากการเจรจาทางตรงและการขยับตัวของภาคเอกชนแล้ว ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียเป็นอีกแนวรบหนึ่งที่ญี่ปุ่นเริ่มเดินเกม

ภาพแปลกตาเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ “สามเสือเอเชียตะวันออก” อย่างญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ จับมือกันเดินหน้ายกระดับเขตการค้าเสรี หรือ FTA เพื่อเพิ่มการค้าขายระหว่างกัน

ปกติแล้ว สามเสือนี้คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างใหญ่ แถมมีประวัติศาสตร์สู้รบกันมานาน

แต่นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ ทำให้ผู้นำสามประเทศนี้ยอมเปิดโต๊ะเจรจาทางเศรษฐกิจกันจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันอย่างการเติมเต็มซัพพลายเชนสินค้าไฮเทค ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และยุโรป

ไม่หยุดแค่เอเชียตะวันออก เพราะนายกฯ อิชิบะ ของญี่ปุ่น เตรียมเดินทางไปหารือกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ด้วยตนเองในสัปดาห์หน้า กระชับความสัมพันธ์กับมิตรสหายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้อีกทาง

ทางข้างหน้าคงปั่นป่วนอีกหลายรอบ แต่ญี่ปุ่นไม่อยู่เฉย เดินหน้าเปิดไพ่อเมริกา เพิ่มไพ่ในมือตัวเอง และเพิ่มมิตรสหายข้างตัวไว้แล้ว

Don’t waste a crisis.

อย่าปล่อยให้วิกฤตผ่านไปอย่างสูญเปล่า ถือโอกาสนี้ร่วมมือร่วมแรงกันปรับเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตกันครับ