“พปชร.”เรียกร้องรัฐบาลระวังการเจรจาภาษีกับสหรัฐ ต้องครอบคลุมนักลงทุนด้านอุตสาหกรรมจากทุกชาติอย่างเสมอภาค

“พปชร.”เรียกร้องรัฐบาลระวังการเจรจาภาษีกับสหรัฐ ต้องครอบคลุมนักลงทุนด้านอุตสาหกรรมจากทุกชาติอย่างเสมอภาค

เมื่อเวลา 14.20 น.วันที่ 22 เม.ย.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการ แถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐประกาศรายชื่อประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐสูง สำหรับกรณีของไทย สหรัฐอ้างว่ามีภาษีอยู่ร้อยละ 72 สหรัฐจึงจะคิดภาษีตอบโต้ไทยในอัตรากึ่งหนึ่ง คือร้อยละ 36 โดยรัฐบาลไทยกำลังเตรียมจะเจรจากับสหรัฐว่า รัฐบาลต้องระวังในการเจรจาภาษีกับสหรัฐ เนื่องจากมีบันทึกของประธานาธิบดีทรัมป์ฉบับลงวันที่ 13 ก.พ.68 ที่ระบุว่า เพื่อทำให้ประเทศคู่ค้าลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐที่ไม่เป็นธรรม และลดการขาดดุลการค้า ข้าพเจ้าจะใช้แผนภาษีโต้ตอบที่เป็นธรรม โดยสหรัฐจะคำนวณอัตราภาษีของประเทศคู่ค้าซึ่งรวมถึงปัจจัยต่อไปนี้

1.อัตราภาษีนำเข้าจริง ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยคิดภาษีนำเข้าเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ 10 ต่ำกว่าอัตราร้อยละ 72 ที่สหรัฐอ้างอย่างมาก
2.ภาษีอื่นๆ ที่คิดจากสหรัฐ รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม
3.การกีดกันที่ไม่ใช่อัตราภาษี รวมไปถึงการอุดหนุนส่งออก และกฎระเบียบที่สร้างภาระแก่สินค้าสหรัฐ
4.การบริหารค่าเงินฝืนตลาด หรือ การกดค่าแรงต่ำเกินควร
5.ข้อจำกัดด้านการเข้าถึงตลาด หรือข้อกีดกันอื่นที่ไม่เป็นธรรม

และล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้บรรยายการกีดกันนอกเหนือจากภาษีนำเข้า ประกอบด้วย 1.การบิดเบือนค่าเงิน 2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.ราคาส่งออกต่ำกว่าทุน 4.มาตรฐานสินค้าเกษตรที่กีดกัน 5.มาตรฐานด้านเทคนิคที่กีดกัน 6.การละเมิดสิทธิทางปัญญา และ 7.การสวมสิทธิ์เพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐ ดังนั้น ในแรกเริ่มเจรจา จึงควรจะเรียกร้องให้ทีมสหรัฐแสดงตัวเลขชัดเจนเสียก่อนว่า กรณีของไทย สหรัฐได้คำนวณอัตราร้อยละ 72 แยกเป็นแต่ละปัจจัยข้างต้นเท่าใด

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องระวังการปะปนด้านการเมืองและความมั่นคง เนื่องจากเป็นการเจรจาด้านการค้า จึงควรระวังไม่ให้การเจรจาขยายวงไปถึงข้อเรียกร้องในด้านการเมืองระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์หลักของชาติและความมั่นคงที่ไม่พึงจะนำมาใช้ในการเจรจาแลกเปลี่ยนทางการค้า

นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงรายได้ค้าบริการ เนื่องจากตัวเลขที่รัฐบาลสหรัฐใช้นั้น เน้นขาดดุลการค้าเฉพาะด้านสินค้า แต่ในด้านการค้าบริการ สหรัฐเกินดุลกับไทยจำนวนมาก และเป็นสัดส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอินเทอร์เนตสูง ดังนั้น จึงต้องมีการคำนึงถึงประโยชน์ของสหรัฐในด้านนี้ซึ่งนับวันมีแต่จะมากขึ้น โดยเฉพาะในอนาคตที่จะมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์กันอย่างกว้างขวางมากขึ้น และต้องครอบคลุมนักลงทุนจากทุกชาติเนื่องจากประเทศไทยให้สิทธิ์ชาวต่างชาติมาลงทุนอุตสาหกรรมกันอย่างเสมอภาค

“ผลที่ได้จากการเจรจาจึงจะต้องให้ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมที่มีนักลงทุนจากทุกชาติ ไม่ว่านักลงทุนสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฯลฯ โดยไทยจะดูแลจัดให้มีการเพิ่มมูลค่าในขบวนการผลิตในไทยที่เหมาะสม“นายธีระชัย กล่าว

“อุตตม” เตือน รบ.ดูความพร้อมฐานะการคลังของไทยให้ดีก่อนไปเจรจาทรัมป์ ชี้ ต้องสื่อให้ปชช.มั่นใจว่า รับมือความไม่แน่นอนของ ศก.โลกได้

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 22 เม.ย.ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐประกาศรายชื่อประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐสูง สำหรับกรณีของไทย สหรัฐอ้างว่ามีภาษีอยู่ร้อยละ 72 สหรัฐจึงจะคิดภาษีตอบโต้ไทยในอัตรากึ่งหนึ่ง คือร้อยละ 36 โดยรัฐบาลไทยกำลังเตรียมจะเจรจากับสหรัฐว่า รัฐบาลต้องคำนึงถึงความพร้อมของฐานะทางการคลังของประเทศไทยต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 เช่นในส่วนของพื้นที่ทางการคลัง เราพร้อมที่จะรับมือความไม่แน่นอนหรือไม่ เพราะนโยบายทรัมป์มีแนวโน้มก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางการค้า การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ ไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ทางการคลังที่เพียงพอเพื่อรองรับแรงกระแทกจากภายนอก

นายอุตตม กล่าวต่อว่า ตัวชี้วัดสำคัญที่กำลังสะท้อนความเปราะบางทางการคลังของไทยมีอยู่ 6 ข้อ 1.รายได้สุทธิต่อ GDP เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 14.87% GDP (2564-2568) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาที่ 18-20% (รายงานความเสี่ยงทางการคลัง/สศค.) สะท้อนความสามารถจัดเก็บภาษีที่อ่อนแอ ส่งผลให้รัฐอาจไม่มีงบประมาณเพียงพอรองรับภาวะฉุกเฉิน และต้องพึ่งการกู้เงินมากขึ้นเมื่อเผชิญวิกฤต

2.สัดส่วนงบประมาณที่ปรับลดได้ยากในปี 2568 สูงเกือบถึง 70% งบประมาณ (เพิ่มจาก 62.72% ในปี 2564) ทำให้เหลืองบลงทุนหรืองบกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง ลดความสามารถในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ (รายงานความเสี่ยงทางการคลัง/สศค.) ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายที่ปรับลดได้ยากประกอบไปด้วย
1. รายจ่ายสวัสดิการประชาชน เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
2. รายจ่ายสวัสดิการบุคลากรภาครัฐ เช่น ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ เงินบำเหน็จบำนาญ
3. รายจ่ายเงินเดือน เงินสมทบ และค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ
4. รายจ่ายเพื่อชำระหนี้และภาระผูกพันต่างๆ เช่น งบลงทุนผูกพันข้ามปี

3.สัดส่วนภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะต่อรายได้ปี 2568 อยู่ที่ 9%และจะเพิ่มขึ้นเป็น 12.2 % ในปี 2569 ข้อมูลจากสำนักวิเคราะห์งบประมาณของรัฐสภา เสียงถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ และอาจเพิ่มต้นต้นการกู้เงินในอนาคต ทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นทั้งระบบ ขณะที่แนวปฏิบัติสากลที่หลายประเทศยึดถือIMF กำหนดไว้ที่ 15%

4.สัดส่วนการขาดดุลงประมาณต่อ GDP ปี 2568 อยู่ที่ -4.5% และปี 2569 จะอยู่ที่ -4.3% (แผนการคลังระยะปานกลาง) ซึ่งสูงกว่าระดับที่มีเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งการขาดดุลไม่ควรเกินร้อยละ 3 หากขาดดุลสูงอย่างต่อเนื่องจะทำให้หนี้พุ่งเร็ว เสี่ยงผิดวินัยการคลัง และเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ข้อมูลสำนักวิเคราะห์งบประมาณ/แผนการคลังของรัฐบาลระบุพยายายามลดการขาดดุลลง

5.ปี 2568 รัฐบาลกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 865,700 ล้านบาท (23.07% งบประมาณ) เกือบชนวงเงินกู้สูงสุด ซึ่งกำหนดไว้ที่ 970,768 ล้านบาท หากเกิดวิกฤติ รัฐจะไม่มีช่องว่างทางกฎหมายให้กู้เพิ่มเพื่อเยียวยาหรือ กระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 กำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลไว้สูงสุด 1.ไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมกับ 2.ไม่เกิน 80% ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น

6.สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล (ต้นเงิน + ดอกเบี้ย) ต่อรายได้ประจำปีงบประมาณ อยู่ที่ 35.14% โดยเพดานกำหนดไว้ที่ไม่เกินร้อยละ 35 (แผนการคลังระยะปานกลาง) เป็นสัญญาณเตือนด้านวินัยการคลัง จะเบียดงบพัฒนา งบลงทุน และสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม นายอุตตม ยังได้เสนอแนะการจัดงบประมาณปี 2569 ไปยังรัฐบาลว่า ต้องจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่สร้าง “ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ” เช่นการพัฒนาทักษะแรงงาน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในภูมิภาค และการเสริมความสามารถในการแข่งขันของ SMEs รวมถึงต้องจัดงบพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เสริมความเข้มแข็งชุมชน ยกระดับขีดความสามารถผลิตสินค้าบริการป้อนตลาดในประเทศ และสอดคล้องกับห่วงโซ่อุปทานใหม่ในตลาดโลก เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก

“วันนี้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 64.21%GDP (4/2568) ซึ่งกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) ประเมินว่าอาจแตะ 70% ใน 2 ปีข้างหน้า และอาจแตะระดับ 80-90% ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากไม่มีการปฏิรูปการคลังภาครัฐอย่างจริงจัง”นายอุตตม กล่าว