เผยแพร่ |
---|
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้เผยแพร่บทความ “รู้เขารู้เรา” ในโลกยุคใหม่ สะท้อนภาพปรากฏการณ์ที่น่าจับตาในประเทศญี่ปุ่น เมื่อ “ออนเซ็น” หรือน้ำพุร้อนธรรมชาติชื่อดัง ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น กำลังกลายเป็นสมบัติของนักธุรกิจชาวจีนมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยอ้างอิงรายงานจาก Nikkei Asia ซึ่งทำการสืบสวนทั้งภาคสนามและผ่านข้อมูลสถิติกลาง พบว่า ปัจจุบันมีรีสอร์ทออนเซ็นในญี่ปุ่นถึง 67 แห่ง ที่ถูกซื้อกิจการโดยนักธุรกิจชาวจีน ครอบคลุมทั้งเกาะฮอนชู, ฮอกไกโด, คิวชู และโอกินาวะ
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เผชิญกับสังคมผู้สูงวัยและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้องพึ่งพาทั้งนักท่องเที่ยวและเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน
บทความชี้ให้เห็นว่า รายงานของ Nikkei Asia ในชุด “Chinese in Japan” พยายามนำเสนอภาพที่สมดุล ทั้งในแง่บวก เช่น การที่เงินทุนจีนเข้ามาช่วยฟื้นฟู “เมืองร้าง” อย่าง เมืองอาตามิ ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง กับแง่ลบ เช่น ราคาที่ดินที่พุ่งสูง และความกังวลด้านการเมืองและอิทธิพลจากต่างชาติที่แฝงอยู่
วีระยุทธชี้ว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญของไทย ซึ่งกำลังเผชิญโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะในภาวะสงครามการค้าและการแข่งขันระดับโลก ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จะเป็นรากฐานสำคัญในการออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพ
“ข้อมูล” จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “อาวุธ” ของประเทศในการเจรจา สร้างสมดุล และรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่ ที่ผู้ถือครองทรัพยากรไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่อีกต่อไป
“สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญคือ การทำนโยบายให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน เราจำเป็นต้องมีทั้งข้อมูลที่อัปเดต ทั้งในแง่ของจำนวน สัดส่วน การเปลี่ยนแปลง ของภาคธุรกิจ”
“โดยไม่ละเลยการทำความเข้าใจระดับพื้นที่ ว่าทัศนคติของคนในพื้นที่และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมเป็นอย่างไร รวมถึงแรงจูงใจแวดล้อม เช่น รายงานนี้พบว่าการเก็บภาษีมรดกที่ต่างกันระหว่างจีนกับญี่ปุ่นทำให้เกิดธุรกรรมบางรูปแบบเป็นพิเศษ
ในสภาวะสงครามการค้ารุนแรงเช่นนี้ “ข้อมูล” อาจเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ไทยเรายังขาด”
“ฐานข้อมูลที่ละเอียดและทันกาล (ภายใต้การคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมาย) คือรากฐานสำคัญที่จะทำให้เราปรับตัวและออกแบบนโยบายได้สมดุลและเท่าทัน”
“เช่น หากย้อนเวลากลับไปได้ เราควรมีข้อมูลจำนวนบริษัทและมูลค่าที่ธุรกิจต่างชาติมาสวมสิทธิส่งออกของไทยอยู่บนโต๊ะแล้ว ทั้งเพื่อใช้จัดการภายในและเพื่อไปเจรจากับสหรัฐฯ แทนที่จะดีใจกับตัวเลข “ส่งออกลม” ที่ทะยานสูงมายาวนาน กว่าจะยอมรับกันอย่างเป็นทางการว่า มีตัวเลขปลอมซ่อนอยู่เยอะ และต้องตรวจสอบการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้ากันจริงจังแล้ว”