เผยแพร่ |
---|
ภัทรพงษ์ ฉะ รัฐบาล แก้ฝุ่น PM 2.5 ล้มเหลว ปั้นตัวเลขเคลมผลงาน สวนทางความจริง จี้ อิ๊งค์ ลาออกนายกฯ คืนสุขภาพที่ดีให้คนไทย
วันที่ 24 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เสนอโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กับคณะ จำนวน 165 คน
เวลา 14.25 น. นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปี 2567 ประเทศต้องเจอภัยพิบัติที่รุนแรง ทั้งนํ้าท่วมครั้งใหญ่ ภัยแล้ง ฝุ่นพิษที่รุนแรง แต่ภัยพิบัติที่หนักที่สุด คือการมีนายกรัฐมนตรีชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน ชีวิต และร่างกายของประชาชน
ทั้งที่ไม่มีความรู้ ความสามารถ ความเป็นผู้นำ และไม่มีความตั้งใจในการแก้ปัญหา เข้ามาบริหารประเทศเพียงเพราะผลประโยชน์ของบิดาและคนในครอบครัว ขณะเดียวกัน เด็กทุกคนรับฝุ่น PM 2.5 เข้าปอดเต็มๆ และไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดในครอบครัวที่มีเครื่องฟอกอากาศและห้องแอร์เหมือนบ้านจันทร์ส่องหล้า
2 ปีแล้วที่รัฐบาลจัดการ PM 2.5 แบบไม่ได้เรื่อง ไหนนายกฯ บอกว่าทำการบ้านมาแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นการบ้านที่ชุ่ยและสร้างความวิบัติ มีนายกฯ ที่โกหกจนเคยชิน และติดตัวเป็นนิสัย
ตั้งแต่แถลงนโยบายที่บอกว่าจะแก้ต้นตอ ลดการเผาไหม้ แต่ความจริงกลับเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จาก 4 ล้านไร่ เป็น 8 ล้านไร่ แต่กลับแถลงผลงาน 90 วันว่าลดพื้นที่การเผาได้ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นการเคลมผลงานด้วยการโกหกประชาชน ขนาดมีฟ้าฝนมาช่วยแล้วก็ยังแย่ลง แต่รัฐบาลก็เอาแต่คิดวิธีนำเสนอข้อมูลให้ตัวเองดูดี
นายกฯ เคลมว่าค่าฝุ่นลดทั่วประเทศ 6 เปอร์เซ็นต์ แต่หากอ้างอิงตัวเลขจากกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ตนไม่แน่ใจว่านายกฯ อยู่โลกเดียวกับเราหรือไม่
ส่วนที่รัฐบาลเคลมว่าลดการเผาอ้อยปริมาณมาก หากอ้างอิงแผนที่การปลูกอ้อยและภาพการเผาจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) กลับพบว่าพื้นที่การเผามีทั้งหมด 2.8 ล้านไร่ คิดเป็นผลผลิต 28 ล้านตัน แต่รัฐบาลระบุว่าอยู่ที่ 11 ล้านตัน
ก่อนที่จะเคลมเคยทำความเข้าใจปัญหาหรือไม่ว่า มีอ้อยที่เผาแล้วเข้าโรงงานโดยไม่ต้องรายงานจำนวนเท่าใด มีคนส่งอ้อยสดแล้วไปเผาใบอ้อยเท่าไหร่ แล้วรู้หรือไม่ว่ามีอ้อยเผาจ่อคิวเข้าโรงงานเท่าไหร่
“คนที่โกหกหลอกหลวงประชาชน จนไม่สนใจสุขภาพของประชาชน ขอโทษเถอะครับ เป็นเพื่อนยังไม่คบ จะให้เป็นนายกฯ ได้ยังไง” นายภัทรพงษ์ กล่าว
นายภัทรพงษ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหา PM 2.5 ต้องทำงานหนักสุดก่อนจะเกิดปัญหา ต้องมีมาตรการรับมือและออกกฎกระทรวง ไม่ต้องรอพ.ร.บ.อากาศสะอาด รวมถึงเร่งออกงบกลาง แต่น.ส.แพทองธาร ก็ยังไม่ทำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องทำ
ในช่วงเดือนต.ค. ปี 2567 มีแค่ข้อสั่งการลวกๆ 3 ข้อ แต่ไม่มีการออกมาตรการบังคับเรื่องข้าวโพดที่เผา หรือการออกหลักเกณฑ์ตรวจสอบการนำเข้า รวมถึงการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยไม่ให้เผา นี่คือผลของการที่เรามีนายกฯ ที่ไม่มีความพร้อม นํามาซึ่งหายนะ
“ช่วยเสแสร้งแกล้งทำเป็นจริงใจในการแก้ปัญหาหน่อย เพราะการสั่งการลอยๆ ไม่มีเนื้อหาแบบนี้ จะทำให้รัฐมนตรีไม่เห็นค่า หน่วยงานไม่เห็นหัว สุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบก็คือประชาชน” นายภัทรพงษ์ กล่าว
นายภัทรพงษ์ กล่าวว่า หากเรายังมีนายกฯ ที่ไม่มีความรู้ความสามารถ เชื่องช้าแบบนี้ ต้องรอให้นายทุนจูงจมูกไปได้เรื่อยๆ ปัญหาต่างๆ จะไม่มีทางแก้ได้เลย ลมหายใจจากประชาชน ไม่ใช่สิ่งที่จะมาขอร้องจากนายทุน
อำนาจอยู่ในมือทำไมถึงไม่กล้าใช้ ทำงานแบบนี้ถึงไม่มีใครให้ค่าเลย เพราะแทบจะทุกหน่วยงานที่ไม่ได้ทำตามข้อสั่งการของนายกฯ ย้อนกลับมาดูตัวเองหรือไม่ ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำเช่นนี้ ยังกล้าเรียกตัวเองว่านายกฯ อยู่หรือไม่
นายภัทรพงษ์ กล่าวว่า จุดประสงค์การเป็นนายกฯ ของน.ส.แพทองธาร คืออะไร ปัญหา PM 2.5 ตนพูดไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว เสนอแนะทุกทางที่จะเป็นไปได้ด้วยความหวังดี เพื่อแก้ปัญหาของประชาชน ปัญหานี้เป็นปัญหาที่หนัก ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาได้ 100% ภายใน 1-2 ปี แต่ทำให้ดีกว่านี้ได้เยอะ
“วันนี้ผมไม่สามารถเรียกบุคคลคนนี้ว่านายกฯ ได้อีกต่อไป ทางออกเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ คือคุณต้องออกจากตำแหน่งตรงนี้ คืนปอด คืนลมหายใจ คืนสุขภาพที่ดีได้แล้ว ลาออกเถอะ คุณไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้” นายภัทรพงษ์ กล่าว