เผยแพร่ |
---|
ณัฐพงษ์ ส่งหนังสือด่วนสุด โต้ วันนอร์ ญัตติซักฟอกถูกต้องตามรธน.-ข้อบังคับ อัด ประธานสภา ลุอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ ทั้งที่รธน.ไม่อนุญาต ทำได้แค่ตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงรูปแบบ-ข้อเท็จจริง
เมื่อเวลา 15.10 น. วันที่ 10 มี.ค.68นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อโต้แย้งหนังสือให้แก้ไขข้อบกพร่องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และขอให้บรรจุญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเข้า การประชุมสภาผู้แทนเร็วที่สุด
โดยให้เหตุผล 3 ข้อดังนี้ 1.ประธานสภาฯจะวินิจฉัยว่าเนื้อหาของญัตติดังกล่าวสมควรมีเนื้อหาอย่างไรมิได้ เนื่องจาก บทบัญญัติดังกล่าว ไม่ได้ ให้อำนาจประธานสภาฯใช้ดุลยพินิจวินิจฉัย ว่าเนื้อหาสมควรเป็นประการใด สมควรจะได้รับการบรรจุในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือคณะหรือไม่ หากแต่บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดอำนาจผูกพันการใช้อำนาจของประธานสภาฯ เปิดให้อภิปรายทั่วไปเพื่อลงญัตติไม่ไว้วางใจเท่านั้น
โดยประสงค์ให้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยถึงเนื้อหา หรือมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะบรรจุวาระ รัฐธรรมนูญต้องบัญญัติถ้อยคำ ที่แสดงถึงอำนาจที่ใช้ดุลยพินิจดังกล่าวอย่างชัดเจน ดังนั้นประธานสภาฯใช้อำนาจโดยอ้างข้อบังคับการประชุมตีความในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการใช้และตีความกฎหมายที่ลุแก่อำนาจ ที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมกำหนดไว้ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงและทำลายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมตรวจสอบการบริหารแผ่นดินของฝ่ายบริหาร
2.ข้อบังคับการประชุมสภาไม่ได้ห้ามให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ ดังนั้นการระบุชื่อบุคคลภายนอกในญัตติของฝ่ายค้านที่ผ่านมา จึงไม่เป็นการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภาแต่อย่างใด ซึ่งในอดีตญัตติที่เสนอต่อประธานสภาหลายเรื่องก็มีการระบุชื่อของบุคคลภายนอก ซึ่งหากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสส. ได้รับความเสียหายจากการอภิปราย หรือการกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมสภา บุคคลนั้นมีสิทธิ์ร้องขอต่อประธานสภาภายในเวลาสามเดือน นับแต่วันที่มีการประชุมเพื่อให้มีการโฆษณาคำชี้แจงได้ ตามข้อ 39 ของข้อบังคับการประชุม และรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 3
ดังนั้นหากวิเคราะห์ตามเจตนารมณ์ของข้อบังคับการประชุม และรัฐธรรมนูญแล้ว เห็นว่าไม่ได้ห้ามการอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลอื่น หรือบุคคลภายนอก ตรงกันข้ามยังตีความเจตนาได้ว่าการอภิปรายถึงบุคคลอื่นสามารถกระทำได้เพียงแต่ เพียงแต่ ส.ส.ผู้อภิปรายนั้นจะต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำเอง และประธานสภาจัดให้มีการโฆษณาชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอ ตามวิธีการและระยะเวลาภายในกำหนด
และ 3. ข้อบังคับการประชุมฯ ข้อที่ 136 กำหนด ให้ประธานสภา เมื่อได้รับญัตติดังกล่าวแล้วให้ทำการตรวจสอบหากมีข้อบกพร่อง ให้แจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับตั้งแต่วันที่ได้รับญัตติซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 7 มี.ค. 2568 แจ้งถึงผลการพิจารณาญัตติของประธานสภา เห็นได้ว่า การแจ้งข้อบกพร่องดังกล่าวไม่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด จึงเป็นการแจ้งข้อบกพร่องที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาฯ เพราะประธานสภาได้รับญัตติของฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2568 แต่กลับมีหนังสือแจ้งข้อบกพร่องเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2568 ซึ่งพ้นระยะเวลา 7 วัน ตามที่ข้อบังคับการประชุมสภาฯกำหนด
ฝ่ายค้านจึงยืนยันว่าการขอเปิดอภิปรายไว้วางใจครั้งนี้ ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภาการฯ และรัฐธรรมนูญทุกประการ จึงขอให้ประธานสภาฯได้พิจารณาบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ฝ่ายค้านยังได้ส่งสำเนาญัตติตัวอย่างญัตติในอดีต เพื่อเป็นการยืนยันว่าสภาเคยมีการพิจารณาและอภิปรายเกี่ยวข้องถึงบุคคลภายนอกได้ ประกอบหนังสือโต้แย้งดังกล่าวด้วย
วันนอร์ ยันไม่เข้าข้างใคร แค่รักษากติกา บอกมีหน้าที่ดูแลการประชุมให้ไม่เกิดปัญหา แจงประธานสภาจะโดนฟ้อง แทนคนอภิปราย ฐานบรรจุญัตติ
ขณะที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์หลังให้ฝ่ายค้านตัดชื่อบุคคลภายนอกออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ตนไม่ได้มีอคติกับใครหรือรับงานใครมา ตนทำไม่ได้
ที่ผ่านมาก็รู้อยู่แล้วว่า บางครั้งฝ่ายค้านก็หาว่าตนเข้ากับฝ่ายรัฐบาลและบ่อยครั้งที่ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าตนเข้ากับฝ่ายค้าน ยืนยันว่าตนแค่รักษากติกาข้อบังคับการอภิปรายถึงบุคคลภายนอกที่ไม่สามารถเข้ามาชี้แจงในสภาฯ ได้เขาห้ามไว้
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า การเขียนในญัตติเลยนั้น ถือว่าหนักกว่าการพูด ตนเป็นสส.มา 40 กว่าปี ไม่เคยมีญัตติที่เขียนชื่อคนนอกไว้ ไม่เช่นนั้นสภาฯ จะไม่เป็นสภาฯ หากเอ่ยชื่อใครก็ได้ จะอภิปรายนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีก็ว่าไป
ทั้งนี้ หากชื่อคนนอกไม่อยู่ในญัตติ จะอภิปรายอะไรก็อภิปรายไป ถ้าเขาเสียหายก็จะฟ้องคนพูด แต่ถ้าบรรจุในญัตติหากมีการฟ้อง จะฟ้องประธานสภาฯ ที่ให้บรรจุระเบียบวาระ ซึ่งประเด็นเรื่องอำนาจการบรรจุระเบียบวาระ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยในประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้แล้วว่าประธานรัฐสภามีหน้าที่บรรจุระเบียบวาระและควบคุมการบริหารงานสภาฯ
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า ในสมัยปี 2545 ที่นายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาฯ ก็เคยให้นายชวน หลีกภัย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯในขณะนั้น ไปแก้ญัตติ ซึ่งนายชวนก็รับไปแก้ไขทั้งที่ไม่เห็นด้วย ตอนนั้นไม่ใช่เรื่องการบรรจุชื่อคนนอกมาไว้ในญัตติ โดยคำชี้แจงบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้แต่เพื่อความร่วมมือที่ดีก็ยอมแก้
“เราอยากเห็นการอภิปราย ไม่ใช่การประท้วง ผมก็ดำเนินการตามนั้น เพราะประธานมีหน้าที่ดูแลการประชุมอันไหนที่จะเกิดปัญหา ประธานต้องไม่ให้เกิดขึ้น” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว