กลุ่มรักษ์เมืองเลยนำทีมเอ็นจีโอยื่นหนังสือพ่อเมืองเร่งแก้ บ.ซีพีเค ของพี่สาว”เปรมชัย”รุกป่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่หน้าศาลากลาง จังหวัดเลย กลุ่มรักษ์เมืองเลย และเครือข่ายภาคประชาชนอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเลย ร่วมกับ สมัชชาประชาชนภาคอีสานเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดยมีนายคุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว นายทศพล พรหมเกตุ พร้อมกับชาวบ้าน เดินทางมายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ผ่านไปถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนปัญหาการบุกรุกที่ดินของในทุนใหญ่ในจังหวัดเลย และการเพิกเฉย การละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยราชการในพื้นที่

โดยหนังสือของกลุ่มรักษ์เมืองเลย ได้ระบุว่า จากกรณีปัญหาการบุกรุกทำลายป่าภูหมี ภูขี้นาค อ.ภูเรือ จ.เลยโดยกลุ่มมีธุรกิจตระกูลใหญ่ “กรรณสูต” ซึ่งจังหวัดได้ลงตรวจสอบพื้นที่แล้ว แต่ข้อเท็จจริงว่า เคยมีการออกโฉนดเอกสารสิทธิ์ที่ดิน น.ส.3 ก.จำนวนหลายแปลงเนื้อที่กว่า 6,000 ไร่ ต่อมามีการตรวจสอบว่าเอกสารดังกล่าวออกมาโดยไม่ชอบ จึงถูกเพิกถอนแต่ปรากฏว่าผู้ถูกเพิกถอนยังไม่ยอมออกจากพื้นที่ และยังแสดงเจตนาที่จะยึดครองที่ดินเช่นเดิม การอยู่โดยไม่มีสิทธิ์นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อสภาพธรรมชาติ แล้วยังเป็นการขัดขวางการอนุรักษ์รักษาฟื้นฟู ภูหมี ภูขี้นาค ให้คงสภาพที่ควรจะเป็น ดังนั้นกลุ่มรักษ์เมืองเลยในฐานะองค์กรภาคประชาชนในพื้นที่ที่ติดตามปัญหาเรื่องนี้มาตั้งแต่เริ่มแรกจึงขอให้ผู้ว่าราชการ ช่วยเร่งติดตาม แก้ปัญหาโดยเร่งด่วนและต้องชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงและความคืบหน้าให้ประชาชนได้รับทราบโดยเปิดเผย พร้อมตั้งกรรมการร่วมภาครัฐและประชาชนเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และหากตรวจพบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการปล่อยปละละเลยให้มีการบุกรุกอย่างต่อเนื่องให้ลงโทษ ทั้งทางวินัยและอาญาโดยเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และขอให้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด พร้อมกับคนดำเนินการให้เป็นผลภายในหนึ่งเดือน

ด้านกลุ่มสมัชชาประชาชนภาคอีสานเพื่อการพัฒนาประเทศไทยได้ยื่นหนังสือผ่านทางผู้ว่าราชการถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีโดยหนังสือระบุว่า เนื่องจากการบุกรุกครอบครองที่ดินในเขตพื้นที่ป่าสงวน ภูหมี ภูขี้นาค อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เนื้อที่ 6,210ไร่ ของบริษัท ซีพีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งมีนายเปรมชัย กรรณสูต เป็นกรรมการของบริษัทนั้น นับได้ว่าเป็นการที่ทำลายและสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่พื้นที่ป่าไม้ อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอย่างยิ่งของประเทศ ซ้ำร้ายยังเป็นการทำลายหลักการนิติรัฐ นิติธรรม และการบังคับใช้กฎหมายของประเทศอย่างย่อยยับ เพราะที่ดินดังกล่าวถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ นส.3 ก.ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545-2546 แต่ตลอดระยะเวลา 15-16 ปี ที่ผ่านมากลับไม่มีการยึดคืนพื้นที่ป่าไม้นี้จากการครอบครองของบริษัทนี้แต่อย่างใด เป็นการเพิกเฉยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยราชการที่รับผิดชอบและเป็นที่สะท้อนให้เห็นความอ่อนแอ ด้อยประสิทธิภาพอย่างร้ายแรงของกลไกของรัฐ