เผยแพร่ |
---|
กกร. คาดจีดีพีไทยปี’68 โตสุด 2.9% ห่วงสหรัฐขึ้นภาษีทำสินค้าต่างชาติทะลักไทย-ดันภาวะหนี้พุ่ง
เมื่อวันที่ 8 มกราคม นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ที่ 2.4-2.9% ภายใต้การส่งออก บวก 1.5-2.5% ซึ่งต่ำกว่าปี 2567 ส่วนอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8-1.2% โดยเศรษฐกิจไทยยังอาศัยภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลัก จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 39-40 ล้านคน ประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่จะทยอยออกมาในช่วงครึ่งแรกของปี ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 และเฟส 3 รวมถึงมาตรการอีซี่ อี-รีซีท จึงมองว่าเศรษฐกิจของไทยยังโตได้ดี แต่มีปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย ทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 104% หนี้เอสเอ็มอีที่สูง ขาดความสามารถในการปรับตัว รวมจากหนี้นอกระบบและในระบบ ทำให้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะไม่ค่อยสดใส เพราะจีดีพีไม่สามารถโตได้มากนัก หลังจากกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังขาดสภาพคล่อง ต้องการการปรับตัว กกร.จึงมีความกังวลเป็นพิเศษว่าจะต้องมีมาตรการในการรับมืออย่างไรบ้าง
“เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย อาทิ ผันเศรษฐกิจเข้าสู่ในระบบ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการและก้าวทันกระแสโลกและลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ และเติมเครื่องมือให้เอสเอ็มอีปรับตัวได้ เพราะมองภาพรวมเศรษฐกิจปี 2568 ยังเติบโตได้อยู่ โดยเฉพาะช่วงต้นปีแรก แต่อาจไม่ได้สูงมากนัก ซึ่งประเมินการส่งออก คาดว่า ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องการเร่งนำสินค้าเข้าประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 จนถึงต้นปี 2568 เพราะกลางปี 2568 เป็นต้นไป ไม่แน่ใจว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีอย่างไรบ้าง ทำให้การส่งออกทั้งปีนี้ยังสามารถเติบโตได้แต่อาจอยู่ในระดับต่ำ” นายสนั่นกล่าว
นายสนั่นกล่าวว่า ด้านเศรษฐกิจโลกปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตระดับ 3% ท่ามกลางความไม่แน่นอนเชิงนโยบายเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากพัฒนาการด้านเทคโนโลยี และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการกีดกันทางการค้าโดยเฉพาะนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐต่อจีนเป็น 60% และต่อประเทศอื่นประมาณ 10-20% อีกทั้งมีมาตรการตอบโต้ของบรรดาประเทศคู่ค้า ที่ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ขณะที่ยังต้องติดตามความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทำให้ราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนจากความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐ
นายสนั่นกล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กกร.มีความกังวลต่อแนวโน้มการค้าโลกที่คาดว่าจะมีผันผวนจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ภาครัฐจึงควรเร่งใช้มาตรการอื่นภายใต้ พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ 2542 และ พ.ร.บ.มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น 2550 อาทิ มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) การตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-circumvention : AC) และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น(Safeguard Measure : SG) เพื่อให้การปกป้องผู้ประกอบการในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์รวมทั้งควรพิจารณาปรับลดกรอบระยะเวลาการไต่สวน ลดขั้นตอนการปฏิบัติ รวมทั้งให้ความสำคัญกับทบาทของภาครัฐในการทำหน้าที่ยื่นเสนอแทนภาคเอกชน เพื่อให้การป้องกันสินค้าทุ่มตลาดเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ภายใต้หลักการ Free & Fair ที่ส่งเสริมการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย