“พริษฐ์” เมินกระแสค้าน แก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ชี้ จำเป็นต้องมี กม.ต่อกรรัฐประหาร เชื่อสภาผ่านร่างได้ หาก “ปชน.-พท.” จับมือกันแน่น

“พริษฐ์” เมินกระแสค้าน แก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ชี้ จำเป็นต้องมี กม.ต่อกรรัฐประหาร เชื่อสภาผ่านร่างได้ หาก “ปชน.-พท.” จับมือกันแน่น

เมื่อเวลา 13.15 น. วันที่ 10 ธันวาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม โดยเฉพาะการสกัดการปฏิวัติ ว่า ในมุมมองของพรรคประชาชน หรืออดีตพรรคก้าวไกล การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เป็นกุญแจดอกสำคัญในการปฏิรูปกองทัพภายใต้รัฐบาลพลเรือน ตามหลักการประชาธิปไตยและมาตรฐานสากล โดยใจความสำคัญที่พรรคได้เสนอไป คือการพยายามปรับอำนาจที่มาของสภากลาโหม ซึ่งปัจจุบันมาตรา 43 เขียนไว้ว่าการดำเนินการบางเรื่อง รัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นตัวแทนพลเรือน ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ แต่ต้องทำตามมติสภากลาโหม ซึ่งมีข้าราชการทหารเป็นหลัก ทั้งนโยบายการทหาร งบประมาณ และการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับทหาร ซึ่งครอบคลุมหลายภารกิจมาก

นายพริษฐ์กล่าวว่า ดังนั้นข้อเสนอของอดีตพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชนในปัจจุบัน จึงให้ความสำคัญในเรื่องของโครงสร้างสภากลาโหม โดยการปรับลดอำนาจสภากลาโหม จากที่สามารถมัดมือรัฐมนตรีกลาโหมได้ มาเป็นการให้คำปรึกษาเพื่อประกอบการตัดสินใจให้เกิดความสมดุลกันมากขึ้น ระหว่างทหารกับตัวแทนรัฐบาลพลเรือน

ทั้งนี้ ยืนยันว่าการแก้กฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญต่อการปฏิรูปกองทัพ เพื่อให้เป็นกองทัพมืออาชีพ ไม่แทรกแซงการเมืองและเป็นไปตามหลักสากล ซึ่งวันนี้มีอย่างน้อย 2-3 ร่างที่จะเสนอเข้าสู่ โดยเฉพาะร่างของพรรคเพื่อไทยซึ่งใจความของตัวล่างสอดคล้องกับพรรคประชาชน อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้างแต่ในภาพรวมคือพยายามปรับให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนมากขึ้น และเข้าใจว่าอาจมีร่างของคณะรัฐมนตรี โดยเป็นสิทธิของแต่ละพรรคการเมืองว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ถ้าดูตามคณิตศาสตร์ทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร หากพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยจับมือกันแน่น รวมกันแล้วก็มี ส.ส.ถึง 290 คน ก็สามารถผลักดันให้ทุกร่างผ่านความเห็นชอบของสภาได้ ในวาระที่ 1 คือชั้นรับหลักการ จากนั้นค่อยไปถกกันในชั้นกรรมาธิการ จึงเชื่อว่าการที่บางพรรคไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นอุปสรรค ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนจะโหวตเห็นชอบในร่างของตัวเอง เพื่อให้ผ่านวาระที่ 1 ไป จึงขอเชิญชวน ส.ส.รัฐบาลร่วมกันโหวต

เมื่อถามว่า หากร่างผ่านความเห็นชอบจากสภา แต่อาจไม่ผ่านในชั้นวุฒิสภา นายพริษฐ์กล่าวว่า อำนาจของวุฒิสภา ณ ปัจจุบัน ถ้าเป็นการแก้ไขระดับ พ.ร.บ. ไม่สามารถขัดขวางกฎหมายได้ ทำได้มากที่สุดเพียงแค่ชะลอไป 180 วัน เหมือนกฎหมายประชามติ ซึ่งอาจทำให้กรอบระยะเวลาต้องเพิ่มออกไป แต่ถ้าเสียงของสภาเกินกึ่งหนึ่ง ยืนยันว่าการแก้ไขร่างก็สามารถทำได้

ถามถึงกรณีที่มีคนมองว่าร่างแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ของพรรคก้าวไกล สุดโต่งเกินไป นายพริษฐ์กล่าวว่า ถ้าหากมองว่าสุดโต่ง ต้องตั้งหลักว่าจะไปเปรียบเทียบกับอะไร เพราะสิ่งที่พรรคเสนอเพื่อปรับเปลี่ยนอำนาจของสภากลาโหมเป็นหลัก เพื่อโอนให้อำนาจมาที่รัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลพลเรือน หากเปรียบเทียบกับมาตรฐานของรัฐบาลสากลก็ถือว่าเป็นปกติ สิ่งที่สุดโต่งมากกว่าก็คือการที่บอกว่ารัฐมนตรีกลาโหมไม่สามารถตัดสินใจ หรือรับผิดชอบเกี่ยวกับการตัดสินใจได้ เพราะต้องฟังเสียงมติสภากลาโหม พร้อมย้ำว่าถ้าเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลกฎหมายที่เรามีอยู่ ซึ่งเป็นมรดกจากคณะรัฐประหาร 2549 น่าจะเป็นสิ่งที่สุดโต่ง

เมื่อถามว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ต่างให้ความเห็นว่า แม้จะมีกฎหมายออกมา แต่ถึงเวลารัฐประหาร กฎหมายนั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี นายพริษฐ์กล่าวว่า พรรคประชาชนพูดมาโดยตลอดว่ารัฐประหารไม่ใช่เรื่องง่าย และการแก้ไขกฎหมายใดกฎหมายหนึ่ง ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงเรื่องรัฐประหารถูกจำกัดลงไปอย่างสิ้นเชิง แต่การแก้กฎหมายเป็นการเพิ่มอาวุธและเครื่องมือ ที่จะทำให้ประชาชนและสถาบันทางการเมืองมีไว้ป้องกันและต่อกรกับรัฐประหาร แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการอื่นนอกเหนือจากกฎหมายด้วย ทั้งนี้ อย่างน้อยควรร่วมมือกันแก้ไขกฎหมาย ให้มีเครื่องมือเพื่อป้องกันต่อต้านรัฐประหาร น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า