เผยแพร่ |
---|
นายกรัฐมนตรี พร้อม รมว.กต. และคณะเดินทางถึงกรุงลิมา สาธารณรัฐเปรูแล้ว เตรียมเข้าร่วมประชุมเอเปก พร้อมผลักดัน หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมกัน
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะ เดินทางถึงกรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู แล้วและเตรียมเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเซียแปซิฟิก หรือ เอเปค ครั้งที่ 31
โดยในการประชุมครั้งนี้มีการประชุม 2 วาระ คือ ประชุมระดับผู้นำเศรษฐกิจเอเปก และประชุมแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะได้แสดงวิสัยทัศน์ ระดับสูงมากในการประชุมครั้งนี้
สำหรับประเด็นผลักดันหลัก มี 4 ประเด็น คือ
1 การพัฒนาการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก หรือ FTA เอเชียแปซิฟิก
2 การครอบคลุมความเท่าเทียม เช่น ประกันสุขภาพถ้วนหน้า
3 ผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ และปัญญาประดิษฐ์
4 ไทยโดดเด่นทางด้านการพัฒนาแบบยั่งยืนหรือเศรษฐกิจแบบยั่งยืนจึง อยากให้ผลักดันต่อไป ซึ่งในหลายประเทศก็ต้องการฟังประเด็นนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเซียแปซิฟิก เป็นความร่วมมือกับประเทศเขตเศรษฐกิจถึง 21 เขต จัดการประชุมปีละ 1 ครั้ง โดย เอเปกสามารถสร้าง GDP ได้ถึง 62% ของโลก มูลค่าการตลาด 48% ของโลก หาก FTA เอเชียแปซิฟิก ผลักดันสำเร็จจะเกิดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ในวันนี้ ( 13 พฤศจิกายน 67) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับรัฐมนตรีเอเปก และผู้เข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปก นอกจากนี้ยังได้มีโอกาส ร่วมแสดงความยินดีกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ คนใหม่ของญี่ปุ่น โดยถือโอกาสหารือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยได้หารือเกี่ยวกับกรอบทวิภาคีร่วมกัน ทั้งเรื่องความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรม การพัฒนาการเกษตร ส่งเสริมการลงทุนการค้าระหว่างกัน เนื่องจากประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่มุ่งไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานทดแทนเชื้อเพลิงต่างๆ และนอกจากความร่วมมือในกรอบของทวิภาคีแล้ว ไทยและญี่ปุ่น ยังยังไดหารือถึงความร่วมมือระหว่างกัน ในการขับเคลื่อนความร่วมมือที่จะนำไปสู่ ระดับพหุภาคี เพื่อนำไปสู่กรอบความร่วมมือการประชุมอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องด้วยประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงด้าน องค์ความรู้ทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทุก ๆ ประเทศ
นอกเหนือจากนี้ ยังได้หารือถึงความร่วมมือในขจัดยาเสพติด, การค้ามนุษย์ และออนไลน์สแกรม ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบกับประเทศอื่นๆ และในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น ยินดีให้ความร่วมมือ และมองเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้หารือร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งไทยจะเดินทางไปเยือนประเทศนิวซีแลนด์ ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ เพื่อหารือถึงความร่วมมือในมิติต่างๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือความร่วมมือด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมนมและโคเนื้อ และเรื่องการศึกษา ด้วย