สภาผ่านร่างกฎหมายไม่ตีเด็กด้วยเสียงเอกฉันท์ 391 ต่อ 1 เสียง ย้ำการเฆี่ยนตีไม่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกเชิงบวก

สภาผ่านร่างกฎหมายไม่ตีเด็กด้วยเสียงเอกฉันท์ 391 ต่อ 1 เสียง ย้ำการเฆี่ยนตีไม่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกเชิงบวก แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้คำแนะนำผู้ปกครองลดความรุนแรงต่อเด็ก

วันที่ 30 ตุลาคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างกฎหมายไม่ตีเด็ก ซึ่งพรรคประชาชนเป็นผู้เสนอ ผ่านการลงมติเห็นชอบในวาระที่ 1 และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ เข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในวันนี้

ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่า พร้อมชี้แจงถึงประเด็นที่สมาชิกได้ท้วงติงและกรรมาธิการได้รับไปพิจารณาตั้งแต่วาระที่ 1 ซึ่งมี 4 ประเด็น กล่าวคือ

1) การกลัวว่า ร่างของกรรมาธิการที่ผ่านมา ถ้อยคำจะไม่ครบในหลักการที่สภาฯ รับมา โดยเฉพาะการตัดถ้อยคำในเรื่องของการทารุณกรรม การทำร้าย และเน้นเรื่องความรุนแรงแทน ซึ่งกรรมาธิการได้นำคำว่าการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ กลับเข้ามาสู่ร่างกฎหมายแล้ว เพื่อให้ตอบโจทย์สิ่งที่สมาชิกได้ตั้งข้อสังเกต

2) การตั้งคำถามว่า คำว่าความรุนแรงมีความหมายและครอบคลุมถึงไหน กรรมาธิการเห็นว่า คำว่าความรุนแรงนั้น มีปรากฏทั้งในข้อเสนอแนะขององค์กรสหประชาชาติ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก รวมทั้งอยู่ในกฎหมายของไทยหลายฉบับ จึงไม่เป็นปัญหาในแง่ของการนิยามความหมายแต่อย่างใด

3) การเฆี่ยนตี ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาก กรรมาธิการเสียงข้างมากยังยืนยันอยากให้มีการใส่คำว่า “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี” ในกรณีของการลงโทษหรือการปรับพฤติกรรมโดยพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยในร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมากเห็นชอบได้ใช้ถ้อยคำว่า “ทำโทษบุตรเพื่อสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรมโดยต้องไม่กระทำทารุณกรรม หรือกระทำด้วยความรุนแรง หรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตีหรือกระทำโดยมิชอบ”

ขณะที่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยได้สงวนถ้อยคำไว้โดยใช้ถ้อยคำว่า “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณ หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” แทน ซึ่งความแตกต่างโดยนัยสำคัญอย่างยิ่ง คือ กรรมาธิการเสียงข้างน้อยตัดคำว่า “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี” ออกไป

ต่อให้เป็นไปตามที่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยเห็นที่ให้ตัดคำว่า “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี” ออกไป ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ปกครองจะยังสามารถเฆี่ยนตีบุตรได้ เพราะการเฆี่ยนตีล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ในการส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรเชิงบวก หรือกระทั่งการเฆี่ยนตีด้วยความรุนแรงถึงขั้นส่งให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจก็ย่อมเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก หรือประมวลกฎหมายอาญาอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้แตกต่างในสาระสำคัญ เพียงแต่กรรมาธิการเสียงข้างมากอยากย้ำประเด็นให้สังคมตระหนักว่า การไม่ตีเด็กจะนำไปสู่การแก้ปัญหาหรือการส่งเสริมการพัฒนาของเด็กในระยะยาวมากกว่า

4) การปรับถ้อยคำด้วยการนำคำว่า “การด้อยค่า การกระทำที่อาจละเมิดหรือกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ออกไป แล้วใช้คำว่า “การกระทำโดยมิชอบ” แทน ซึ่งวิญญูชนโดยทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่า มีความหมายในลักษณะเดียวกัน

ณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า กรรมาธิการได้พยายามปรับแก้ไขตามข้อเสนอของสมาชิกโดยไม่ตกหล่น แต่จุดยืนยังชัดเจนว่า ต้องการให้ทำโทษหรือปรับพฤติกรรมเป็นไปด้วยความเหมาะสม

หลังจากการชี้แจงกรรมาธิการและสมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเป็นรายมาตราที่มีการแก้ไข โดยสภาได้ลงมติด้วยเสียงข้างมากเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วยคะแนน 391 ต่อ 1

หลังจากนั้นสภาฯ ได้มีพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการทั้ง 11 ข้อ และให้ความเห็นชอบต่อข้อสังเกตอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยมีเนื้อหาสรุปคร่าว ๆ ด้วยการให้หน่วยงานต่าง ๆ ทำความเข้าใจกับสังคมถึงการสนับสนุนให้ผู้ปกครองเลี้ยงบุตรในเชิงบวก เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของผู้ปกครองต่อการใช้ความรุนแรงต่อบุตร รวมถึงมาตรการทางสังคมอื่น ๆ เช่น การให้คำปรึกษาต่อผู้ปกครอง หรือแม้กระทั่งที่เกิดความรุนแรงขึ้นจะต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบนำเรื่องไปดำเนินการเพื่อปรับวิธีการเลี้ยงดูของผู้ปครอง ทั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเด็ก หลังจากนี้ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาโดยวุฒิสภาต่อไป