เผยแพร่ |
---|
‘ณัฐวุฒิ’ เชื่อไร้ม็อบใหญ่ต้านรัฐบาล ชี้นิรโทษกรรมต้องไม่เพิ่มความขัดแย้ง เรื่องใหญ่สุดตอนนี้คือแก้เศรษฐกิจ เผยจุดยืนการเมือง เปลี่ยนตามสถานการณ์
วันที่ 28 ต.ค. 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ว่า มาเพื่อประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมาหลายครั้งแล้ว วันนี้ไม่ได้มีวาระในการประชุมหรือมีประเด็นอะไรเป็นพิเศษ และไม่ได้พบกับนายกฯ
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่มีคำสั่งแต่งตั้ง ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ทั้งการประเมินสถานการณ์ข่าวสารการเมืองและความเคลื่อนไหวอื่น โดยทำงานร่วมกับส่วนต่างๆ นอกจากนั้น ขึ้นอยู่กับนายกฯ มอบหมายภารกิจให้ทำเพิ่ม
เมื่อถามว่า นายกฯ มอบหมายให้ดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองยังไม่มีปรากฏความเคลื่อนไหว ส่วนที่มีข้อเรียกร้องเดือดร้อนจากการทำกิน หรือการดำรงชีพ มี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์อยู่แล้วซึ่งประสานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถามถึงสถานการณ์ที่กลุ่มการเมืองจะออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวมีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ทั้งการชุมนุมบริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ การรวมตัวแสดงความเห็นต่าง แต่การชุมนุมขนาดใหญ่หลักหมื่นคนอย่างที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ยังไม่น่าจะเกิดขึ้น รัฐบาลไม่มีหน่วยงานใดติดตามความเคลื่อนไหวในการแสดงออกเหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ แต่เรามุ่งเน้นการผลักดันผลงานการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนมากกว่า
เมื่อถามว่า ภายหลังรับตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ ได้ให้คำแนะนำใดให้กับรัฐบาลบ้าง นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า สำหรับข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอพูดคุยในวงคณะทำงาน คงไม่เสนอแนะนายกฯ และรัฐบาล ผ่านสื่อแต่จะเสนอแนะไปตามช่องทางที่เหมาะสม
เมื่อถามว่าการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม จะทำให้กลายเรื่องเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว กระทบต่อรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน ที่ทุกพรรคเห็นตรงกันคือเห็นชอบที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อเป็นเครื่องมือในการลดความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา แต่ที่ยังมีความเห็นต่าง คือกฎหมายนิรโทษกรรมที่จะออกมา โดยเฉพาะมาตรา 112 และขณะนี้สภากำลังจะปิดสมัยประชุม
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ดังนั้นจะมีการพิจารณากฎหมายนี้หรือไม่ อย่างไร คาดว่าจะอยู่ในสมัยประชุมหน้า ช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการประชุมสภา เชื่อว่าพรรคการเมือง ภาคประชาชนที่เคลื่อนไหว จะมีการปรึกษาหารือกัน และการเดินหน้าเรื่องนี้หลักการคือจะต้องไม่ไปขยายความขัดแย้งใดเพิ่ม ต้องรักษาบรรยากาศไม่ให้ช่วงเวลานี้ไปมีเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่ม
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หากมีการพูดคุยกันในพรรคเพื่อไทย คาดว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม จะได้พูดคุยว่าจะมีกรรมการยุทธศาสตร์ กรรมการบริหาร และจะหารือและมีข้อสรุปกันว่าจะมีร่างนี้ออกมาประกบหรือไม่ ส่วนอื่นก็น่าจะเช่นเดียวกัน เมื่อถึงเวลาต้องเอาไปพูดคุยกันในสภาฯ ก็จะพูดคุยกัน
เมื่อถามถึงจุดยืนต่อเรื่องนิรโทษกรรม นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ได้แสดงความคิดเห็นไปหลายครั้ง และมีจุดยืนเดิม หวังว่าข้อขัดแย้งที่มีอยู่จะใช้ช่วงเวลานี้จะมาปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนกัน และส่วนตัวมองว่าจะต้องไม่ไปเพิ่มเงื่อนไขความขัดแย้งไปถึงฝ่ายใด ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่ทุกรัฐบาลไม่ใช่แค่รัฐบาลนี้ต้องยึดถือปฏิบัติอยู่แล้ว
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หากสังเกตตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา จนมาถึง น.ส.แพทองธาร ก็ไม่มีท่าทีนี้ เพราะขณะนี้เรื่องใหญ่ที่สุดของรัฐบาลคือผลักดันนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน ส่วนความขัดแย้งทางการเมืองไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่บรรยากาศการจัดเวทีเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน ขอให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองและฝ่ายสภาไปว่ากันใครมีความคิดเห็นด้านใดก็แสดงออกด้วยท่าทีที่เหมาะสมน่าจะดีที่สุด
เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. บ้างหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่มีโอกาสนั่งพูดคุยอย่างเป็นทางการ แต่มีเหตุผลในการตัดสินใจของตนเอง มีวิถีทางในการเลือกเดิน และความเป็นตัวของตัวเองในอดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้วิธีการคิด วิธีการเดินอาจจะมีการปรับเปลี่ยนบ้างไปตามสถานการณ์ แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเพื่อนมิตรและพี่น้อง ตนเลือกที่จะเงียบแล้วทำตามสิ่งที่ตนเชื่อและเดินตามทางที่เลือกและให้เวลาอธิบายเรื่องทั้งหมดดีกว่า
เมื่อถามถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตและการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดูจะยากขึ้น ทั้งที่เป็นนโยบายหาเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย จะมีนโยบายใดเรียกคะแนนเสียงกลับมาในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังรีบดำเนินการทำงานกันอย่างเต็มที่ และยังมีเวลาทำงานเกือบ 3 ปี ประเด็นดังกล่าวที่มองว่ายากอาจจะคลี่คลายง่ายขึ้นและมีผลปฏิบัติได้ การทำงานการเมืองในรัฐบาลผสมไม่มีอะไรเดินหน้าไปได้ด้วยก้าวใหญ่ เพราะยังมีเรื่องที่เห็นต่างกัน จึงเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องจะหาทางให้ได้ข้อสรุปร่วมกันและเดินต่อไปได้
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า เมื่อพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจเป็นคนจัดตั้งรัฐบาล ความรับผิดชอบทั้งหลายต่อปัญหาของประชาชนก็ต้องทำให้เต็มที่ ส่วนจะปรากฏผลงานที่ชัดเจนหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้พิจารณาตัดสินใจเอง