เผยแพร่ |
---|
“เฉลิมชัย” เปิดใจ นำประชาธิปัตย์ ร่วมรัฐบาล ย้ำเป็นการตัดสินใจและรับผิดชอบร่วมกันชี้ทุกฝ่ายมีเหตุผล ยันมีสามัญสำนึก ไม่มีใครเอาพรรคไปหากิน ลั่นไม่ทิ้งหลักการ-อุดมการณ์ พร้อมเปิดกว้างทุกฝ่ายร่วมกันทำงาน
11 กย. 2567 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดใจถึงช่วงก่อนเทียบเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาล ว่าการประสานงานอย่างจริงจังก่อนหน้านี้ตามที่มีข่าวต้องเรียนว่าไม่มี และตนเคยพูดย้ำหลายครั้งว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคไม่เคยมีการพูดคุยกับผู้บริหารของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเลขาธิการพรรคเพื่อไทยก็บอกว่าไม่มีการพูดคุยกัน
“ผมยืนยันมาตลอด ไม่ว่าจะอย่างไร พรรคจะต้องดำเนินการตามข้อบังคับโดยไม่มีการละเว้น สิ่งนี้เป็นหลักการสำคัญ ถึงจะไปคุยไปตกลงอะไรก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เพราะเรามีข้อบังคับพรรค” นายเฉลิมชัย กล่าว
นายเฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ในวันประชุมกรรมการบริหาร (กก.บห.) ได้เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดคุยซักถามอย่างเต็มที่ และตนได้แสดงความคิดเห็นในมุมมอง และเหตุผลของตน โดยทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าความรู้สึกกับความคิดนั้นไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งการตัดสินใจในวันนี้แต่ละฝ่ายล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น
“ท่านชวน ท่านบัญญัติ ท่านจุรินทร์ ท่านรักพรรคเหมือนที่ทุกคนรัก ไม่มีใครเอาพรรคไปหากินเด็ดขาด ด้วยสามัญสำนึกของพวกเรามันต้องมี คนมันต่างจากสัตว์ตรงที่เรามีสำนึก ผมมั่นใจว่าผมและคณะก็มีสำนึกเต็มเปี่ยม อะไรที่ไม่ถูก ผมก็ไม่ให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” นายเฉลิมชัย กล่าว
“สำหรับผม ในฐานะเป็นหัวหน้าพรรค ผมปัดความรับผิดชอบไม่ได้ ผมต้องเป็นคนนำในการต่อสู้กับปัญหาต่างๆ และนำพาพรรคประชาธิปัตย์กลับคืนมา ผมมั่นใจว่าพรรคของเรามีวินัย เราตั้งมา 78 ปี ความมีวินัยทำให้ประชาธิปัตย์ยืนมาได้ถึงวันนี้ และด้วยหลักการของพรรค ผมก็พูดชัดเจนว่าเราไม่มีวันทิ้งและไม่มีวันทิ้งอุดมการณ์ของพรรค อยากย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ให้ใคร ไม่อยากให้ใครใช้สถานการณ์นี้มาทำร้ายพรรค มันไม่เป็นธรรม เพราะพรรคขับเคลื่อนไปด้วยกฎระเบียบ ข้อบังคับของพรรคทั้งหมด” นายเฉลิมชัย กล่าวต่อ
แนวทางการฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ นายเฉลิมชัย กล่าวว่า มี 2 ส่วน ส่วนแรกคือพัฒนาด้านยุทธศาสตร์ของพรรค วันนี้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ และจะได้ตั้งคณะทำงาน กำหนดบทบาทคณะทำงาน เพื่อเริ่มจัดทำนโยบาย ซึ่งส่วนนี้พรรคได้ขับเคลื่อนอยู่เป็นปกติ ส่วนที่ 2 คือเมื่อพรรคได้มีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศ เราก็จะต้องบอกกับพี่น้องประชาชนว่าเราจะเข้าไปทำอะไรในนามของพรรคประชาธิปัตย์
“สิ่งที่ประชาธิปัตย์จะขับเคลื่อนไปได้ และมีความเข้มแข็งที่สุดก็คือความมีเอกภาพภายในพรรค ซึ่งผมเองได้เรียกร้องมาตั้งแต่สมัยเป็นเลขาธิการพรรคว่า นี่คือจุดแข็งที่สุดของพรรค ขอให้ทุกคนตัดความรู้สึกส่วนตัวทิ้งไป มันไม่มีใครได้ 100% ไม่มีใครเสีย 100% แต่เอาส่วนรวมเป็นที่ตั้งว่าเราจะทำให้องค์กรของเราเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง ผมไม่อยากเอาความรู้สึก กับความสะใจออกมาระบายทางโซเชียล มันไม่มีประโยชน์ และในที่สุดมันก็กลับเข้าตัวของแต่ละคน ถ้าคนรักองค์กรนี้จริงๆ มาช่วยกันเถอะ ผมเปิดกว้างอยู่เสมอ” นายเฉลิมชัย กล่าว
ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลแล้วจะเรียกศรัทธาคืนมาได้อย่างไรนั้น นายเฉลิมชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีใครรู้อนาคต แต่ไม่ว่าตนจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตั้งใจทำอย่างดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ทุกครั้ง ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ให้ประเทศ ให้พรรคประชาธิปัตย์
“ผมบอกได้ว่าผมจะทำงานให้เต็มที่ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้น ผมไม่ใช่นักวิพากษ์วิจารณ์ ที่จะไปบอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็มั่นใจว่าไม่มีใครรู้อนาคตหรอก ถ้ารู้อนาคตโลกคงจะไม่เป็นอย่างนี้ วันนี้เราอยู่ท่ามกลางการจับตาดู และท่ามกลางการปรามาสของคนด้วย ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นเสียงที่สะท้อนมา ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำก็คือทำให้ดีที่สุด เมื่อเราทำได้ดีที่สุดแล้ว ก็ต้องยอมรับผลตรงนั้น” นายเฉลิมชัย กล่าว
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาโลก เมื่อสังคมเปลี่ยน การศึกษาเปลี่ยน สภาพอากาศ สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะไปพร้อมๆ กับการหมุนของโลก เราจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงให้ได้
“การที่ประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์หรือไม่ มันไม่ได้อยู่ที่ประชาธิปัตย์ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วม แต่เป็นที่ประชาธิปัตย์ปรับตัวเข้ากับสังคมปัจจุบันได้หรือไม่ ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็สูญพันธุ์ ผมเชื่อว่านี่คือวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ เมื่อเราตัดสินใจอย่างนี้แล้ว ก็ต้องนำพาองค์กรไปให้ดีที่สุด ผมเองก็จะทุ่มเททำงานให้ดีที่สุด” นายเฉลิมชัย กล่าวในที่สุด